10/03/2013

"พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุเกิดขึ้นมาได้อย่างไร"

"พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุเกิดขึ้นมาได้อย่างไร" คำถาม: ผมอยากทราบว่าพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เราจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นของจริง และมีผลอย่างไรต่อผู้มีไว้บูชาครับ? คำตอบ: พระบรมสารีริกธาตุ หมายถึงอัฐิของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้วก็ถวายพระเพลิงกัน วันที่พระองค์จะปรินิพพานพระองค์ทรงอธิษฐานว่า ให้อัฐิของพระองค์ส่วนที่เป็นกระดูก จะเป็นฟัน หรือจะเป็นส่วนไหนก็ตาม ให้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย 84000 ชิ้น ตามจำนวนข้อพระธรรมที่มีตรัสไว้ ซึ่งปรากฏต่อมาในพระไตรปิฎก 84000 ข้อ ลักษณะของพระบรมสารีริกธาตุที่จะพอสังเกตเห็นได้ชัดๆ คือมีลักษณะคล้ายมุก ส่วนที่ถามว่าทำไมจึงใสเหมือนมุก ก็บอกว่าเพราะธาตุของพระองค์ถูกกลั่นบริสุทธิ์แล้วจริงๆ เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์ คือ ยังมีชีวิตอยู่ ธาตุที่ประกอบเป็นร่างกายก็บริสุทธิ์จนมีรัศมีแผ่ออกมารอบพระวรกายข้างละวา มีบันทึกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบางพระองค์ ในอดีต มีรัศมีแผ่ออกถึงข้างละ 1 โยชน์ คือประมาณ 16 กิโลเมตร บางพระองค์ข้างละ 10 วา บางที 20 วา ซึ่งก็แล้วแต่บารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ เพราะว่าแต่ละพระองค์ทรงสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน อย่างไรก็ตาม ถ้าธาตุภายในบริสุทธิ์ก็หมายความว่า แม้แต่กระดูกก็บริสุทธิ์ตาม ส่วนพวกเรานี่กิเลสยังหนาอยู่ มีโลภ โกรธ หลง อยู่อีกเยอะ กระดูกของเราเมื่อเผาแล้วเขาเอามากองรวมกับกระดูกแพะ บางทียังแยกความแตกต่างไม่ออก เพราะมันมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ส่วนพระธาตุ หมายถึงอัฐิของพระอริยสงฆ์ นับตั้งแต่อัฐิของพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ อัฐิของท่านเหล่านี้ก็ยังต่างจากอัฐิของพวกเราอีกนั่นแหละ คือหลังจากที่เขาประชุมเพลิงแล้ว อัฐิของท่านจะมีลักษณะกึ่งหินกึ่งกระดูก แต่ไม่ใช่ Fossil และอัฐิแต่ละชิ้นก็มีลักษณะเฉพาะๆ ของท่าน พระอรหันต์แต่ละท่าน ก็มีลักษณะพระธาตุต่างกัน เพราะสร้างบุญสร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน ส่วนของพวกเราเนื่องจากทำบาปไว้เยอะ พอตายแล้วเขาเอากระดูกไปกองรวมกับกระดูกสัตว์เมื่อไร ก็แยกแทบไม่ออก แต่ว่าถ้าตั้งแต่วันนี้เป็นตันไป นั่งสมาธิ(Meditation)ให้ดี รักษาศีลไม่ให้ขาด กระดูกจะเริ่มเปลี่ยนสภาพตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ พอตายแล้ว แม้อัฐิไม่ถึงกับเป็นพระธาตุอย่างพระอรหันต์ท่าน แต่ก็มีแวววับๆ เรื่องนี้เคยเจอมาแล้ว พระภิกษุบางรูป แม่ชีบางท่านที่ตั้งใจรักษาศีลอย่างดีเยี่ยม นั่งสมาธิมาอย่างดีเยี่ยม เมื่อท่านตายแล้ว พอนำเอาร่างไปเผา อัฐิของท่านมีลักษณะคล้ายเป็นพระธาตุ แต่ยังไม่เต็มที่ อย่างนี้เคยเจอ ดังนั้นขอให้ตั้งใจนะ รักษาศีล 8 ให้ดี นั่งสมาธิมากๆ เมื่อตายแล้วอัฐิจะค่อยๆ เปลี่ยนสภาพไป ที่เปลี่ยนก็เพราะขันธ์ 5 ได้บริสุทธิ์ขึ้นมาตามลำดับไงล่ะ เขาเก็บพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุเอาไว้ทำไม ? เขาก็เก็บไว้กราบไหว้บูชา ถามว่ากราบไหว้บูชาแล้วได้อะไร? ก็ได้เกิดความศรัทธา บางคนพอมาเห็นพระบรมสารีริกธาตุเข้าก็ได้คิด อ้อ..นี่กระดูกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้โฮ้..ใส..ใส ยังกับไข่มุก มองแล้วเกิดความประทับใจมากกว่าจะรังเกียจว่านี่เป็นกระดูก อย่างเราเห็นไข่มุก เรายังชอบใจว่า แหม..ไข่มุกสวยจริงๆ ไข่มุกเกิดจากน้ำลายในตัวสัตว์ เรายังเชิดชูเอามาทำเครื่องประดับราคาแพง แต่ว่าพระบรมสารีริกธาตุบางองค์ใสกว่าไข่มุก เห็นแล้วเกิดความปีติ ไม่ว่าชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่ ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับเมล็ดข้าวสารหักก็มี คล้ายเมล็ดพันธุ์ผักกาดก็มี ชิ้นเล็กๆ สวยๆ พอเห็นแล้วใจมันฟู ทำให้อยากทำความดีตามท่าน อยากจะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาตามท่าน เกิดกำลังใจว่า อ้อ..คนที่ทำความดีเต็มที่จริงๆ นี่ แม้แต่กระดูกยังเปลี่ยนไปในทางดีหมด ความดีที่ท่านทำ ได้เข้าไปกลั่นธาตุให้บริสุทธิ์ขึ้น แม้ที่สุดกระดูกของพระอรหันต์ซึ่งมีความบริสุทธิ์หย่อนลงมาตามส่วน เมื่อเผาแล้วอัฐิธาตุของท่านยังมีคุณประโยชน์ คือเมื่อเราเห็นแล้วก็ยังก่อให้เกิดศรัทธาที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมตามอย่างท่าน บางท่านที่อยากทราบว่าพระธาตุที่ตนมีอยู่เป็นของจริงหรือไม่ ตอบว่าเชื่อยากจริงๆ จะจริงหรือไม่จริง ก็เชื่อไปก่อนก็แล้วกัน แล้วฝึกสมาธิไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงธรรมกายในตัวแล้วค่อยไปดู เพราะว่าถ้าเรามาคิดเสียตอนนี้ว่าไม่จริง ใจมันเลยห่อเหี่ยว เลยขี้เกียจปฏิบัติธรรม แม้คนที่เชื่อก็ต้องระวัง ไม่ใช่คิดเชื่อแต่เพียงว่า เดี๋ยวนี้เรามีของจริงแล้ว บุญของเราคงมากพอแล้ว จึงมีของดีของจริงมาอยู่ด้วย ต่อไปนี้สมาธิไม่ต้องปฏิบัติก็ได้ เอาแต่ไหว้ๆ ก็พอ ถ้าคิดอย่างนั้นละก็ได้ชื่อว่าประมาทและผิดแล้วนะ ให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ พระธาตุที่เรามีอยู่จะจริงหรือไม่จริง เราก็ทำถูกแล้ว ได้ปฏิบัติบูชาแล้ว ถ้าหากของนั้นไม่จริงก็แล้วไป แต่ของจริงคือการปฏิบัติบูชาได้เกิดขึ้นแก่เราแน่นอน กราบของไม่จริง จนได้ของจริงเกิดขึ้นในตัว คุ้มเกินคุ้มนะลูก แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่เคยใช้ได้ผลมาแล้ว คือให้เอาพานมาสักใบพานแก้วก็ได้ เอาผ้าขาวปูลงไป หาเจดีย์เล็กๆ ที่ทำด้วยไม้มาสักองค์ซึ่งวางขายตามร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์นั่นแหละ ปิดฝาวางไว้บนพานแล้วเอาดอกไม้ อาจจะเป็นดอกมะลิก็ได้ บูชาทุกคืน แล้วก็นั่งสมาธิด้วย พร้อมทั้งอธิษฐานว่า “ด้วยความตั้งใจปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า ของให้พระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งพระธาตุด้วย จะอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตาม ขอให้เสด็จมาอยู่ในเจดีย์ของข้าพเจ้า” ทำอย่างนี้สักวันหนึ่งจะได้สมใจ เพราะเคยได้มาแล้ว ทั้งๆ ที่เจดีย์ปิดฝาอยู่นี่แหละ มีพระภิกษุรูปหนึ่งฝึกสมาธิมาไล่ๆ กันนี่แหละแต่ท่านอายุมากกว่าหลวงพ่อ ตอนนั้นเรายังไม่ได้บวชเป็นพระทั้งคู่ วันหนึ่งก็นั่งสมาธิด้วยกันที่บ้านของท่าน หลังคาบ้านเป็นสังกะสี นั่งสมาธิแล้วก็อธิษฐานว่า ขอให้พระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาโปรด เราทีเถอะ เราอยากเห็นของจริงว่าเป็นอย่างไร นั่งสมาธิกันมาอย่างนั้น ประมาณสักครึ่งปี มีวันหนึ่งขณะกำลังนั่งสมาธิอยู่ เกิดเสียงดังกราว เหมือนใครเอาทรายขว้างมาบนหลังคาบ้าน เราก็ไม่สนใจ ครั้นพอเลิกนั่ง ลืมตาขึ้นกราบพระ พอกราบพระเสร็จ ก็เห็นมีพระธาตุตกอยู่ที่พื้นหลายองค์ จะว่าใครขว้างเข้ามา แต่ดูแล้วหลังคาบ้านก็ไม่ได้ทะลุ นี่ก็เป็นเรื่องแปลก ที่เคยพบเห็นมาแล้วด้วยตัวเอง เล่ากันว่า บางคนลืมตาขึ้นมา อ้าวพระธาตุมาอยู่ในมือ...มีอีกคนตอนนี้บวชแล้ว ท่านก็อธิษฐานต่อไปว่า “ที่ตกอยู่กับพื้นนี่ของแท้หรือไม่ก็ไม่รู้” ดูสิขนาดมาเองอย่างนั้นแหละ แท้หรือไม่แท้ยังไม่มั่นใจท่านอธิษฐานใหม่ ว่า “ถ้าเป็นของจริงขอให้อยู่บนหัวเลย” ท่านเป็นคนหัวล้าน ซึ่งอะไรก็ตามยากจะไปติดหัวท่านได้ท่านอธิษฐานแล้วก้มลงกราบ พอก้มลงกราบพระธาตุก็หล่นลงมาจากหัวองค์หนึ่ง ท่านก็เลยคว้ามาเก็บไว้ ขนาดหัวล้านนี่แหละ ยังติดได้ แปลกไหมล่ะ หลวงพ่อพูดแล้วอย่าเพิ่งเชื่อว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ไปทดลองทำดูเองก็แล้วกัน เพราะได้ทำกันจนได้ผลอย่างที่ว่า หลวงพ่อเองเมื่อก่อนบวชก็ไม่เชื่อ คุณป้าของหลวงพ่อท่านบอกให้ทำ ท่านบอกว่าขนาดเจดีย์ปิดๆ อย่างนี้ ป้ายังได้เลย แต่ของท่านได้มาแต่พระธาตุ ส่วนพระบรมสารีริกธาตุท่านยังไม่เคยได้ ตอนท่านเอามาให้ดู สมัยนั้นหลวงพ่อยังไม่เชื่อนะ เลยขัดคอป้าออกไปว่า “ฮื้อ ป้าหลอกใครก็หลอกเถอะ มาหลอกคนอย่างผมไม่ได้หรอก” ว่าป้าไปเสียอีก ป้าก็ไม่รู้จะเถียงอย่างไร ท่านไม่ได้เรียนหนังสือ เถียงสู้เราไม่ได้ แต่วันหลังพอได้กับตัวเอง ถึงได้เชื่อ อ้าว...มันเป็นจริงๆ เพราะฉะนั้นไปลองทำดูก่อน อย่าเพิ่งเชื่อ และก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ ในโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่เคยทราบ ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะอยู่เหนือวิสัยที่เราจะรู้ได้ แต่การที่จะอยู่ในวิสัยที่เราจะรู้ได้ ก็ต้องอาศัยการฝึกฝนตนเองอย่างยิ่งยวดเหมือนกัน ไปลองดูเถอะ คงไม่เกินความสามารถ และสติปัญญาของเราไปได้ หากว่าเราได้ทุ่มเทชีวิตและสติ ปัญญาลงไปจริงๆ โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว) เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา by: ขอนอบน้อม พระรัตนตรัย เป็นสรณะ

No comments: