8/22/2009

ศีลเพียงข้อเดียวที่หลวงปู่มั่นรักษา

*คำสอน"หลวงปู่มั่น" *




ห้วงแห่งภาวะแล้งมาเยือนแล้ว แม้แต่ลมหายใจออกมายังร้อนระอุจนรับรู้ได้
คงไม่ต้องบอกว่าแล้วอากาศภายนอกปลายเมษายนเดือดเข้าไปเท่าไหร่แล้ว

ยิ่งเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายนที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมฯพยากรณ์ไว้
เป็นวันที่ร้อนที่สุด ก็คงจะใกล้เคียง เพราะขนาดลมทะเลแถวเกาะช้าง จ.ตราด
ยังช่วยระบายไม่ทัน

แต่ที่ช่วยขับร้อนภายในให้คลายได้ ดุจดังได้น้ำเย็นราดรดลงในใจ
เป็นหนังสือธรรมคำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ที่ท่านหลวงตามหาบัว
ญาณสัมปันโน แห่งวัดบ้านตาด เมืองอุดรธานี
เจ้าของโครงการผ้าป่าช่วยพยุงชาติเมื่อคราววิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐
นำมาถ่ายทอดแบบถามตอบไขปัญหาธรรมและส่วนหนึ่งยังเผยแพร่เป็นธรรมทานในเว็บไซต์หลวงปู
่มั่น

ไม่รู้นักการเมืองเหลี่ยมจัดผู้ห่างธรรมยังจำบุญคุณท่านหลวงตามหาบัวได้หรือไม่?

ในธรรมคำสอนตอนหนึ่งเล่าถึงระหว่างหลวงปู่มั่นมาแวะพักที่วัดบรมนิวาสกรุงเทพฯ
มีคนกรุงกราบถามหลวงปู่มั่นว่า "หลวงปู่รักษาศีลองค์เดียว ไม่ได้รักษาถึง ๒๒๗
องค์ เหมือนพระทั้งหลายที่รักษากันใช่หรือไม่"?

"ใช่ อาตมารักษาเพียงอันเดียว" หลวงปู่มั่นตอบ

คนกรุงกราบถามท่านอีกว่า "ที่หลวงปู่รักษาเพียงอันเดียวนั้นคืออะไร"?

หลวงปู่มั่นตอบสั้นๆ คือ "ใจ"!

คนกรุงผู้ติดอยู่กับการเมืองการเลือกตั้งอุบาทว์ยังไม่แจ่มแจ้ง
กราบถามหลวงปู่มั่นว่า..

"แล้วศีล ๒๒๗ นั้น หลวงปู่ไม่ได้รักษาหรือ"?

หลวงปู่มั่นตอบว่า... "อาตมารักษาใจไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด
อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ จะเป็น ๒๒๗
หรือมากกว่านั้นก็ตาม บรรดาที่เป็นข้อบัญญัติห้าม อาตมาก็เย็นใจว่า
ตนมิได้ทำผิดต่อพุทธบัญญัติ ส่วนท่านผู้ใดจะว่าอาตมารักษาศีล ๒๒๗ หรือไม่นั้น
สุดแต่ผู้นั้นจะคิดจะพูดเอาตามความคิดของตน
เฉพาะอาตมาได้รักษาใจอันเป็นประธานของกายวาจาอย่างเข้มงวดกวดขันตลอดมา
นับแต่เริ่มอุปสมบท"

คนกรุงผู้ยังไม่พ้นขุมนรกกราบถามอีกว่า "การรักษาศีลต้องรักษาใจด้วยหรือ"?

หลวงปู่มั่นแผ่เมตตาธรรมให้กับคนกรุงผู้ยังเป็นดอกบัวใต้น้ำว่า

"... ถ้าไม่รักษาใจจะรักษาอะไร ถึงจะเป็นศีลเป็นธรรมที่ดีงามได้
นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้นจะไม่ต้องรักษาใจแม้กายวาจาก็ไม่จำต้องรักษา
แต่ความเป็นเช่นนั้นของคนตายนักปราชญ์ท่านไม่ได้เรียกว่าเขามีศีล
เพราะไม่มีเจตนาเป็นเครื่องส่องแสดงออก
ถ้าเป็นศีลได้ควรเรียกได้เพียงว่าศีลคนตาย
ซึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ตามคำเรียกแต่อย่างใด
ส่วนอาตมามิใช่คนตายจะรักษาศีลแบบคนตายนั้นไม่ได้
ต้องรักษาใจให้เป็นศีลเป็นธรรมสมกับใจเป็นผู้ทรงไว้ทั้งบุญทั้งบาปอย่างตายตัว..."

คนกรุงท่านนั้นผู้ได้ฟังธรรมคำสอนง่ายๆ ตรงๆ แต่ลึกของหลวงปู่มั่นแล้ว
ผมไม่รู้จะเป็นบัวพ้นน้ำ หรือบัวแล้งน้ำ!

ที่มา : มติชน ๒๗ เมษายน ๒๕๔๙
รูปขนาดเล็ก
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่  Name: luangpumun03.jpg Views: 93 Size: 89.2 KB ID: 677705
__________________

8/21/2009

จริตทั้ง ๖ อย่างที่มีอยู่ในตัวมนุษย์



ถาม: ใน ตำราท่านว่าไว้ จริตมี ๖ อย่าง อย่างตัวกระผมเองถือว่าเป็นการดัดจริต คือไม่รู้แล้วแกล้งทำเป็นรู้แต่ก็ไม่สำคัญ ท่านสรรเสริญในจริต ๒ อย่าง คือ พุทธจริต และศรัทธาจริต พุทธจริตท่านว่า เช้าฉลาดบ่ายโง่ เช้าฉลาดเย็นโง่ อันนี้เป็นอย่างไรครับ ?

ตอบ: จริงทั้ง ๖ อย่างก็คือ ศรัทธา จริต โทสะจริต ราคะจริต วิตกจริต พุทธจริต โมหะจริต พวกจริตทั้งหลายเหล่านี้ จริงๆ แล้วมีอยู่กับเราทุกคนครบทั้ง ๖ ตัว แต่ที่ระบุไปว่าจริตใดจริตหนึ่งเพราะว่าอย่างนั้นมันนำหน้ามา จริตชนิดนั้นมันนำหน้ามา ถ้าขี้โมโหก็เป็นโทสะจริต ถึงโมโหแต่มีความฉลาดก็เป็นพุทธจริต ประกอบไปด้วยศรัทธาอย่างเดียวก็เป็นศรัทธาจริตอย่างนี้

พวกจริตเหล่านี้อันใดอันหนึ่งมันอยู่กับเราตลอดเวลาอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็ได้กำหนดกองกรรมฐานไว้ว่าแต่ละคนๆ ควรทำอย่างไร แต่ว่าท่านสรรเสริญพุทธจริตคือผู้มีความฉลาดกับศรัทธาจริต ต้องระวังตัวศรัทธาจริตนิดหนึ่ง เพราะศรัทธาจริตนี่จะมีตัวอยู่ตัวหนึ่งก็คือว่ามันเป็นอธิโมกขศรัทธา เชื่อตามอย่างเดียวโดยไม่มีปัญญาประกอบเลย โอกาสพลาดมีเยอะ

เพราะฉะนั้นถ้าเป็นศรัทธาจริตนี่ต้องพยายามย้ำคิดก่อน ไม่ใช่เชื่อใดฝ่ายเดียว ไม่ใช่เขาบอกว่าอะไรดีที่ไหนไม่ทันจะพิสูจน์เลยก็ไปซะแล้ว ลักษณะนั้นจริงๆ ถ้ากำลังใจทรงตัวก็ไม่มีปัญหา รู้ว่าพลาดก็เริ่มต้นใหม่ แต่ถ้ากำลังใจไม่ทรงตัวมันมีในลักษณะจิตตก กำลังใจตก...(ไม่ชัด)

ถาม: ๑) เหตุใดท่านจึงสรรเสริญใน ๒ จริตที่ว่านี้ ? ๒) สมมติว่าเราไม่มี ๒ จริต มี ๔ จริต เราจะทำอย่างไร ? ๓) เมื่อเรารู้จริตของตนเองว่ามีทั้งหมด ๖ จริต เราจะทำอย่างไรต่อ ?

ตอบ: ลักษณะที่เมื่อกี้ตอบไป ๒ ข้อแล้ว ก็คือจะ ๔ หรือ ๖ ก็ตาม มันมีกับเราครบทุกจริต แต่เพียงแต่ว่าอันไหนมันจะเด่นออกมาเท่านั้น ที่ เขาสรรเสริญศรัทธาจริตเพราะว่านักปฏิบัติทุกขั้นตอนถ้าไม่มีศรัทธานำหน้ามา มันก็จะไม่เชื่ออะไรเลย แล้วโอกาสที่จะได้ดีมันหายาก ก็ถึงได้บอกว่าให้มีศรัทธา แต่ว่าต้องเป็นศรัทธาที่มีปัญญาประกอบ ส่วนพุทธจริตที่ท่านฉลาดมาก แค่เห็นหัวข้อธรรมเท่านั้นบางทีเข้าใจรู้แจ้งแทงตลอดตั้งแต่ต้นยันปลายเลย ดังนั้น ๒ จริตนี้จะมีคนที่เรียกว่าสรรเสริญเอาไว้คือ โอกาสจะได้ดีมันมีสูง

แต่ว่าพวกโทสะจริตเอาแต่มักโกรธ ราคะจริตมักรักสวยรักงาม วิตกจริตคิดไม่ตกอยู่เสมอ โมหะจริตประกอบไปด้วยความเขลาเป็นปกติ พวกนี้โอกาสจะได้ดีมันมีน้อย เขาก็เลยสรรเสริญว่า ศรัทธาจริต กับพุทธจริตเป็นของดีกว่า แต่จริงๆ แล้วเรามีทั้งหมดนั่นแหละ ประเภทที่เช้าฉลาดบ่ายโง่หรือเย็นฉลาดเช้าโง่มันเป็นเรื่องปกติ



สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมกราคม ๒๕๔๗(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



. __________________
สร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก 10 วา
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=65729


ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ "สมเด็จองค์ปฐม" ก้บวัดธรรมยาน

http://board.palungjit.com/f105/ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์-สมเด็จองค์ปฐม-ก้บวัดธรรมญาณ-119095.html

ธรรมะเลือกคู่“ศีล-จาคะ-ปัญญา-ศรัทธา”

“ธรรมะเลือกคู่” ดูอย่างไร 'คน 2 คน" ถึงเข้ากันได้







โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์20 สิงหาคม 2552 17:17 น.
“คุณพิทยากร ลีลาภัทร์” หรือ aston 27
หาก เอ่ยถึงชีวิตคู่ ทุกคนหวังอยากจะได้คู่ชีวิตที่ดี และเข้าใจเราที่สุด แต่บางคนคิดว่า ‘ใช่’ แต่กลับพบว่า “เขาดีเกินไป” หรือ “เราคงไปด้วยกันไม่ได้” หรือบางคนเพิ่งมาคลิกและคิดได้เอาตอนที่มีลูกแล้ว ซึ่งมันก็อาจจะสายเกินไป

วันนี้ทีมงาน Life and Family มีโอกาสไปร่วมงานเปิดตัวหนังสือ “ธนาคารความสุขสาขา 2” หลังจากสาขาแรกได้รับเสียงตอบรับจากผู้อ่านไม่ใช่น้อย ที่สำคัญยังได้พูดคุยกับ “คุณพิทยากร ลีลาภัทร์” หรือ “พี่เอ็ด” ผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าว และบล็อกเกอร์ ถึงวิถีธรรมะในชีวิตประจำวัน รวมทั้งได้เปิดประเด็นเรื่องการเลือกคู่ (ชีวิต) โดยใช้หลักธรรมะมาเป็นเกณฑ์ในการเลือก ซึ่งส่วนตัวพี่เอ็ดเป็นคนสนใจเรื่องธรรมะอยู่ก่อนแล้ว

สำหรับหลักธรรมในการเลือกคู่นั้น มีที่มาที่ไป ซึ่งพี่เอ็ด เล่าให้ฟังว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน ชีวิตเขามีปัญหาเข้ามาให้คิดรอบด้าน ไม่ว่าจะหย่ากับภรรยา และไม่มีงานทำ ซึ่งทุกอย่างมันห่อเหี่ยว และไร้กำลังใจ

จนมาวันหนึ่ง เขาจึงได้พบคำตอบให้ตัวเอง ซึ่งตอนนั้นกำลังยืนรอรถไฟฟ้าอยู่บนชานชาลา และคิดอยู่ในใจว่า เมื่อไหร่ทุกข์นั้นจะผ่านพ้นไป ซึ่งปรากฏว่ามีลมเบาๆ พัดมาที่ท้ายทอย ลมนั้นทำให้รู้สึกโล่ง และเย็นสบายมาก นั่นจึงไขแก๊กได้ว่า คนเราต้องอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่มันเกิดขึ้น และทำให้เกิดทุกข์ มันได้จบไปนานแล้ว ดังนั้นปัจจุบันไม่มีดี ไม่มีแย่ มีแต่พอใจ หรือไม่พอใจเท่านั้น

สำหรับ ปัญหาการหย่าที่เกิดขึ้น เขาบอกว่า ไม่ได้โทษฝ่ายใด แต่มันเป็นเรื่องของศีล จาคะ ปัญญา และศรัทธาของแต่ละคนไม่เท่ากัน ทำให้เราไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ซึ่งเกณฑ์ตรงนี้ เขาเรียนรู้หลังจากที่ได้แต่งงานไปแล้ว 2 ปี ซึ่งมันช้าไปแล้ว แต่ถ้าใครมาถาม หรือปรึกษา ก็จะแนะนำให้ใช้หลักการเลือกชีวิตคู่ตามหลักธรรมที่ได้ศึกษามา โดยใช้ศีล จาคะ ปัญญา และศรัทธา เป็นเกณฑ์ในการเลือกคู่





*** ธรรมะเลือกคู่ “ศีล-จาคะ-ปัญญา-ศรัทธา”




สำหรับหลักวิธีการเลือกชีวิตคู่ให้เหมาะสมนั้น พี่เอ็ดแนะนำว่า ให้ใช้หลักธรรมะ 4 ตัวเป็นตัวตั้ง คือ คนๆ นั้น หรือคู่ชีวิต จะต้องมีศีล จาคะ ปัญญา และศรัทธาที่ใกล้เคียงกับเราด้วย ชีวิตคู่ถึงจะไปด้วยกันได้ดี

1. ศีล คือความเป็นปกติในการใช้ชีวิต เช่น บางคนมีศีล 5 อีกคนกลับไม่มีศีล 5 เลย ทำให้เกิดความอึดอัด จนเกิดคำว่า “ดีเกินไป” ของอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นได้ เพราะทนรับกับสภาพของตัวเองที่ทำกับอีกฝ่ายไม่ได้นั่นเอง

2. จาคะ คือ นิสัยในการเป็นผู้ให้ และสละออกซึ่งสิ่งที่เป็นของเรา เช่น บางคนชอบทำบุญ ชอบช่วยคน แต่อีกฝ่ายหนึ่งขี้งก ก็อยู่ด้วยกันลำบาก

3. ปัญญา คือ ความเข้าใจ ความคิดอ่าน การมองโลก ซึ่งแต่ละคนต้องมีขอบเขตความเข้าใจที่ใกล้เคียงกัน คนหนึ่งชอบคุยเรื่องหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งไม่ชอบ มันก็อาจจะเซ็ง และคุยไม่เข้าคอกัน

4. ศรัทธา เป็นความเชื่อในเรื่องต่างๆ ที่ไม่เท่ากัน เช่น ความชอบไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดการแบ่งแยก และแบ่งพวก นำมาซึ่งการทะเลาะกันได้





ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ดี “พี่เอ็ด” เปรียบชีวิตคู่เหมือนกับ “ไม้บรรทัด” เพราะได้แนวคิดมาจากหลวงพ่อชา ที่ท่านเคยถามว่า ไม้เท้าอันนี้ สั้นหรือยาว บางคนก็ตอบว่า สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ท่านสอนว่า ไม้เท้ามันไม่ได้สั้น ไม่ได้ยาว หรือว่าพอดี แต่มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง จิตคนเราต่างหากที่ไปให้ค่ามัน

ในเรื่องนี้ จึงสะท้อนได้ดีว่า คนทุกคนล้วนมีไม้บรรทัดส่วนตัวของแต่ละคน เป็นไม้บรรทัดที่เอาไว้ขีดเส้นตัดสินสิ่งที่เราเรียกว่า ถูก-ผิด, ดี-ไม่ดี, ชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งเรื่องบางเรื่องอาจถูกต้องเหมาะสมสำหรับคนหนึ่ง แต่อาจเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเข้าท่า เข้าทางสำหรับอีกคนหนึ่งก็เป็นได้

“เรา ได้ยินคำพูดของคนก็ดี เห็นสิ่งที่ใครทำก็ดี เรามักใช้ไม้บรรทัดตัวเองเป็นเครื่องวัด ประเมินค่า ตีความ และให้ผลเป็น ความรัก ชอบ เกลียด ชัง เฉยๆ แต่บางที ก็ลืมนึกไปว่า เรากับเขา อาจจะมีไม้บรรทัดคนละอัน ซึ่งดีของเรา อาจไม่ใช่ดีของเขา ดีของเขา อาจไม่ดีของเรา ดังนั้นถ้ายังมองอะไร ตีค่าอะไรด้วยอคติ ก็จะไม่เห็นความจริงของสิ่งที่เป็นไป เหมือนใส่แว่นกันแดดสีๆ มองอะไรมันก็จะมีสีของแว่นเจืออยู่เสมอ” พี่เอ็ดให้แง่คิดโดยอ้างจากเรื่องไม้บรรทัด ในหนังสือธนาคารความสุข สาขา 2



อย่างไรก็ดี พี่เอ็ดได้พูดเสริมว่า ถ้าคู่ชีวิตคู่ไหน อยากให้อีกฝ่ายหนึ่งสนใจ หรือหันมามองตัวเอง ตัวเราต้องฝึกฝนให้ดีเสียก่อน โดยใช้วิธีปฏิบัติธรรม เพราะการเข้าทางธรรมจะทำให้เราได้เห็น และรู้จักตัวเองดีขึ้น รู้จักตัวเองในที่นี้ คือ เวลาเกิดปัญหา จะไม่มอง และโทษคนอื่น หรือเห็นคู่ชีวิตเป็นฝ่ายผิดตลอด

เพราะฉะนั้น เมื่อฝึกฝนตัวเองดีแล้ว เช่น คุมอารมณ์ให้อยู่ และเข้าใจความต่างในตัวของคนที่เรารัก จะช่วยให้อารมณ์ดี และใจเย็นขึ้น สรุปว่า ถ้าอยากให้คนอื่นเข้าใจตัวเรา เราต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่า ณ ขณะนี้ เราคือใคร กำลังทำอะไร ปัญหาเกิดขึ้นเพราะใคร ต้องยอมรับความจริงให้เป็น ที่สำคัญไม่ควรไปรื้อฟื้นอดีตที่เลวร้ายของกันและกันมาเป็นข้อถกเถียง แต่จงอยู่กับปัจจุบัน เพราะจะทำให้มีความสุขมากว่า

“สามี- ภรรยาคู่ไหน ที่อยากฝึกการเจริญสติ และภาวนาแบบง่ายๆ ลองใช้วิธีของผม ซึ่งจะใช้กลยุทธ์แบบกองโจร อยู่ที่ไหนก็ภาวนาได้หมด ไม่ว่าจะที่บ้าน หรือนอกบ้าน อย่างเช่นบนรถ ซึ่งจะทำช่วงไฟแดง หลับตาหายใจช้าๆ แล้วบอกว่ารู้ หายใจออกรู้ แล้วจะรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี และมีกำลังในการต่อสู้กับปัญหาในวันนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี” พี่เอ็ดฝากทิ้งท้าย

0 สนใจหนังสือ “ธนาคารความสุข สาขา2” สามารถหาซื้อได้ตามแผงหนังสือทั่วไป หรือถ้าใครสนใจบทความดีๆ เชิญเข้าไปอ่านในเว็บบล็อกของคุณพิทยากร (Aston 27) ได้ที่ มุมมองของ Aston 27 ซึ่งเป็นบทความสอดแทรกแง่คิด และหลักธรรมะง่ายๆ ที่เข้าใจไม่ยาก




------------------
Life & Family - Manager Online

8/18/2009

พันธนาการชายหญิง (จากหนังสือชำแหละกฎแห่งกรรม)



หญิงชายมีความสำราญในการร่วมประเวณีกัน ติดใจในรสกามารมณ์ กามารมณ์จะ
มีอำนาจผูกมัดชายหญิงคู่นั้นไว้ได้นาน 2-3 ปี

หญิงชายมีความรักต่อกัน รู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน เงียบเหงาหว้าเหว่คนึง
หาเมื่อต้องพรากจากกัน ความรักจะผูกพันชายหญิงคู่นั้นไว้ได้นาน 3-4 ปี

หญิงชายมีรสนิยมตรงกัน ชอบพออาหารอย่างเดียวกัน ชอบที่หลับที่นอน ที่กินอย่าง
เดียวกัน รสนิยมจะผูกมัดชายหญิงคู่นั้นไว้นาน 5-6 ปี

หญิงชายเคยเป็นสามีภรรยา เคยเป็นญาติพี่น้องกันแต่ชาติปางก่อน พบกันชาตินี้
เห็นกันก็รักใคร่สนิทสนมกัน ทำอะไรผิดหูผิดตาก็ให้อภัยกัน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของ
กัน จะทำงานอะไรก็ปรึกษาหารือกัน บุพเพสันนิวาส จะผูกมัดชายหญิงคู่นั้นไว้นาน 10-12 ปี

หญิงชายเคยเป็นคนบาดหมาง ทะเลาะวิวาทกันมาแต่ชาติปางก่อน ตั้งความปรารถนา
ที่ลบล้างกัน หาโอกาสแก้แค้นกัน แต่หาโอกาสได้ยาก ต้องตายจากกันไปเสียก่อน เกิดมาชาตินี้
เป็นคู่ผัวตัวเมียกัน ทำลายกันล้างผลาญกันไม่หยุดหย่อน ก็แยกจากกันไม่ได้ แรงพยาบาทหรือ
เวร จะผูกมัดชายหญิงคู่นี้ไว้นาน 8-10 ปี

หญิงชายถูกหมอไสยศาสตร์ใช้วิชาอาคม อาถรรยเวทย์ผูกมัดให้ต้องอยู่ร่วมกัน หญิง
ชายคู่นั้นจะอยู่ด้วยกันแบบครึ่งมึนงง ครึ่งเหตุผล เป็นลักษณะภาวะจำยอม อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ
อย่างนั้นเอง คิดถึงกันเสมอ คิดถึงอย่างรุนแรง ไม่อยากพรากกัน แม้จะเป็นจากกันชั่วคราวเพื่อ
อนาคตอันดีก็ตาม อำนาจของอาถรรพ์ จะผูกมัดชายหญิงคู่นั้นไว้นาน 3-4 ปี

หญิงหรือชายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นลูกหนี้เงินทอง ลูกหนี้น้ำใจ ลูกหนี้บุญคุณ จึงยิน
ยอมแต่งงานเป็นผัวเมียกัน หญิงชายคู่นั้นจะอยู่กินกันแบบกระทำตามหน้าที่ หน้าที่การงาน ความ
เรียบร้อยในบ้านไม่มีบกพร่อง ชีวิตสะดวกสบายแต่จืดชืด ไม่มีหยอกล้อยั่วยวน ไม่มีการเสียใจ
เมื่อต้องพรากจากกัน ไม่มีการดีใจเมื่ออีกฝ่ายประสบความสำเร็จ ความเป็นลูกหนี้ จะผูกมัดชาย
หญิงคู่นั้นไว้นานกำหนดไม่แน่นอน อาจประมาณ 7-9 ปี อาจจะแยกจากกันเพราะฝ่ายหนึ่งบวชหรือ
ต้องติดตามไปดูแลลูกหลานคนใดคนหนึ่ง

หญิงชายที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จัดการให้ตกแต่งอยู่กินด้วยกัน จะอยู่
กินด้วยความสนุกสนานร่าเริง แต่หาความภักดีต่อกันได้ยาก เมื่อไปพบหญิงอื่นชายอื่นที่เข้าใจกัน
ก็จะมีใจโน้มเอียง ผู้ใหญ่จะผูกมัดชายหญิงคู่นั้นไว้ได้นาน 2-3 ปี

หญิงชายที่แต่งงานแต่งการ อยู่กินด้วยฤกษ์สมรสที่ดี โหราจารย์คิดคำนวณวางดวง
ฤกษ์และร่วมพิธีอย่างถูกต้อง จะเริ่มชีวิตคู่ด้วยความหวัง หวังว่าทุกสิ่งจะรุ่งเรืองก้าวหน้าไป
ด้วยดี ครั้นไม่สมหวังประสบอุปสรรคบ่อยๆก็จะท้อถอย เกิดความเบื่อหน่ายชีวิตคู่ ฤกษ์สมรส

ขออนุโมทนาและขอบคุณน้องกุ๋ย ( เถรี ) ด้วยนะคะเอามาจากบล๊อคน้องกุ๋ยค่ะ..

พระพุทธเจ้าครองใจคนได้อย่างไร ผู้นำดูไว้!





ใครว่าเป็นผู้นำต้องไม่ทำงานหนัก หากใครพูดอย่างนี้คงเป็นผู้นำคนไม่ได้ และคงไม่เหมาะสมที่จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำไม่ว่าระดับไหนก็ตาม

ผู้ นำต้องทำงานหนักแน่นอน อยู่ที่ว่าจะหนักแบบไหนอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับลักษณะที่รับผิดชอบ เป็นผู้นำแล้วไม่ทำงาน หรือทำงานน้อยๆ หรือทำไปวันๆ พอแล้วไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนี้ก็ยากที่จะครองใจลูกน้องบริวาร หรือนั่งอยู่ในกลางใจผู้คนได้
ผู้นำทั้งหลายถ้า ไม่มีใครเป็นต้นแบบอยากให้ดูพระพุทธเจ้าเป็นโมเดล บรรดาภิกษุหรือฆราวาสจะหาคนที่ทำงานหนักเฉกเช่นพระองค์นั้นไม่มีแน่ ถ้านับชั่วโมงทำงานของคนทั่วไปวันหนึ่งทำประมาณ 8-10 ชั่วโมง แต่พระพุทธเจ้าทรงงานเกือบตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวันเป็นเวลา 45 ปี เรียกว่าแทบหาเวลาพักผ่อนบรรทมนั้นไม่มี
ทรงงานหนักแต่เช้ามืดทุกวัน
งาน ของพระองค์คือการเป็นครู ทรงเป็นครูสอนของเทวดาและมนุษย์ หน้าที่คือทรงสอนให้รู้จักการละความชั่ว ทำความดี และชำระจิตของตัวเองให้สะอาด เรียกว่าเป็นงานที่ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินทอง ในขณะเดียวกันก็ไม่ทรงหวังสิ่งตอบแทนใดๆ ในรูปของวัตถุสิ่งของและเงินตราจากผู้นั้นด้วย ทรงหวังแต่เพียงว่าให้เขามีความสุข ถ้ามีทุกข์ก็ให้คลายหายจากความทุกข์ นี่คือเป้าหมาย
“พุทธกิจแรกในวันใหม่เริ่ม ตั้งแต่เช้ามืดของทุกวันจะทรงตรวจดูสัตวโลกเพื่อหาคนที่มีอุปนิสัยที่จะ เทศนาสั่งสอน ทรงตรวจดูว่าวันนี้คนที่จะไปเทศน์สอนนั้นเป็นใคร เป็นคนกลุ่มไหน เป็นเศรษฐีหรือคนยากจนมีร่างกายสมประกอบหรือพิการ มีอุปนิสัยอย่างไร มีจริตอย่างไร และคำสอนชนิดไหนที่จะเหมาะกับเขา สอนแล้วผลที่เขาจะได้รับเป็นอย่างไร ได้ขั้นไหน ขั้นบรรลุมรรคผลหรือขั้นอรหันต์ หรือขั้นแค่ให้เขาศรัทธาในพระรัตนตรัย” ดร.บรรจบ บรรณรุจิ อาจารย์ประจำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

ไม่เกี่ยงสถานะของผู้นั้นจะเป็นเช่นไร
ใน โลกนี้จะหาผู้นำที่มีความยุติธรรม ไม่มีอคติไม่เลือกที่รักมักที่ชังยากนักหนา เพราะส่วนใหญ่ที่เห็นผู้นำมักจะไม่สามารถผดุงความยุติธรรมเอาไว้ได้ เพราะมุ่งแต่ประโยชน์ตน กลุ่มตน และพรรคตนเป็นสำคัญ ปากมักจะพูดว่ายุติธรรม ไม่มีอคติ แต่ใจหาเป็นเช่นนั้นไม่
สำหรับ พระพุทธเจ้าแล้วทรงเป็นผู้นำที่ทรงวางพระองค์เป็นกลางจริงๆ ในการที่จะเสด็จไปเทศนาสอนใครนั้น ไม่ทรงมีอคติ ไม่ว่าผู้นั้นจะไม่ชอบหรือคิดประทุษร้ายพระองค์ นอกจากนี้ในการเดินทางไปเทศนาสั่งสอนก็ไม่ทรงเกี่ยงในเรื่องระยะทาง ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ไกลแค่ไหน เป็นร้อยโยชน์พันโยชน์ และมีภูมิประเทศแห้งแล้งแค่ไหน ขอเพียงเขาผู้นั้นพร้อมที่จะรับฟังธรรมก็พร้อมที่จะเสด็จไปโปรดทุกเมื่อ
ประการ สำคัญ พระบรมครูจะไม่ทรงเกี่ยงในเรื่องของสถานะของผู้นั้นว่าเขาเป็นอะไร เป็นพระหรือฆราวาส เป็นราชา หรือราษฎร เป็นโจรผู้โหดร้าย หรือคนนอกพุทธศาสนาที่ไม่ชอบพระพักตร์พระองค์ ถ้าเขามีอุปนิสัยแล้วจะต้องเสด็จไปให้ได้และไม่ทรงคำนึงว่าจะมีฐานะอย่างไร รวยหรือจน เพราะมีพระทัยเสมอในทุกคนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังเหมือนที่ผู้นำหลายๆ คนเป็น
แต่จะเห็นว่าผู้นำบางคนถ้าจะทำประโยชน์ อะไรให้ประชาชน ก็จะไม่มองลงไปที่ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอันดับแรก แต่จะมองว่าประชาชนในภาคนี้ จังหวัดนี้เป็นฐานคะแนนของตนก็ทำให้ก่อนแต่สำหรับพระพุทธเจ้าไม่ทรงเป็นผู้ นำแบบนี้แน่นอน
ทำงานโดยมีเมตตาเป็นพื้นฐาน
ผู้ นำบางคนมักจะมีอคติอยู่ในใจและทำงานบนพื้นฐานของความโกรธ ทำให้ลูกน้องบริวารต้องทำงานอย่างหวาดระแวงและไม่มีความสุข ได้ยินเสียงนายทีไรเป็นสะดุ้ง แต่พระพุทธเจ้าทรงงานโดยมีพระเมตตาและมหากรุณาเป็นพื้นฐาน เพราะในสายพระเนตรพระองค์สัตวโลกทั้งหมดล้วนตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ทั้ง สิ้น จึงต้องการที่จะช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ด้วยพระทัยเมตตากรุณา ขนาดพระเทวทัตที่ตั้งตนเป็นศัตรูก็ไม่เคยโกรธตอบแต่กลับมีพระทัยปรารถนาดี ต่อพระเทวทัตทุกเวลา

“พระพุทธองค์ทรงหวั่น ไหวคืออนาทรกับความทุกข์ร้อนของสัตวโลกมาก เมื่อสัตวโลกประสบกับความทุกข์ก็ทรงมีพระเมตตามาสั่งสอนให้เขาพ้นทุกข์ตลอด 45 ปี และนี่คือสิ่งพระองค์ทรงครองใจคนได้” ดร.บรรจบ กล่าว
พระ ศรีญาณโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กล่าวเสริมว่า พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีเมตตากรุณาต่อสัตวโลก ทั้งคนที่ทรงรัก คนที่รักพระองค์ และคนที่รังเกียจคิดประทุษร้ายพระองค์ เช่น พระเทวทัต ที่ไม่ผูกโกรธ ไม่ว่าร้าย ไม่ประทุษร้ายตอบ ทรงงานหนักโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยใดๆ้นแก่เหน็ดเหนอยน ทรงทำประโยชน์กับสังคมมากและไม่ทรงหวังประโยชน์ใดๆ จากสังคมเลย เพียงแค่มีปัจจัย 4 เพื่อทรงมีพระกำลังในการทำประโยชน์ให้แก่สังคมต่อไปเท่านั้น




ไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า
ในส่วนของวิธีการสอนของพระองค์นั้น ซึ่งเป็นที่ประทับใจและครองใจคนนั้นมีมากมายยากที่จะนำมากล่าวในที่นี้ได้ หมดสิ้นจึงขอนำมากล่าวเป็นบางส่วน เช่น บางครั้งไม่ทรงใช้วิธีการหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพราะการที่จะใช้วิธีนี้จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
พระศรีญาณโสภณ กล่าวว่า วิธีหักด้ามพร้าด้วยเข่าเป็นเรื่องที่ต้องระวัง ต้องละเอียดคิดให้ดีถ้าจะใช้ และพระพุทธองค์ก็ไม่ทรงใช้วิธีนี้หันไปใช้วิธีอื่นแทน อย่างกรณีที่พระวัดโฆสิตารามเมืองโกสัมพีทะเลาะกันรุนแรงมากทรงห้ามอย่างไร ก็ไม่ฟังแทนที่จะลงโทษพระก็หันไปลงโทษพระองค์แทนด้วยการเสด็จหลีกหนีพระ เหล่านั้นไปอยู่ป่ากับลิงและช้าง
“ชาวบ้านเมื่อไม่เห็นพระพุทธเจ้าก็พานโกรธพระไม่ยอมใส่บาตรทำให้พระต้องอด ข้าวจนในที่สุดต้องหันมาสามัคคีกันแล้วเดินทางไปขอขมาพระพุทธเจ้านิมนต์ให้ เสด็จกลับมา กลับมาแล้วชาวบ้านก็หันมาใส่บาตรดังเดิม นี้ก็เป็นพุทธวิธีครองใจคนอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า” พระศรีญาณโสภณ กล่าว
การที่พระพุทธเจ้าทรงครองใจคนมาถึงวันนี้2,552 ปีเข้าแล้ว เพราะทรงงานหนักด้วยพระทัยที่มีพระเมตตาและพระมหากรุณาเป็นที่ตั้ง ปราศจากอคติทั้งสี่ มีความเป็นกลาง ทรงมีพระทัยในทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าผู้นั้นจะชอบหรือรังเกียจพระองค์ ไม่ว่าผู้นั้นจะรวยหรือจน ทุกคนทรงให้ความเท่าเทียมหมด ไม่มีเหลื่อมล้ำ จึงยากที่จะหาผู้นำคนใดมาเทียบพระองค์ได้ในทุกกรณี
ฉะนั้น ผู้นำยุคนี้ถ้าหวังจะเป็นผู้นำที่ครองใจคนทั้งประเทศหากยังหาต้นแบบไม่เจอก็ขอให้ดูพระพุทธเจ้าเป็นแบบปฏิบัติ

[url=http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=62173]

8/17/2009

ปวดกระดูก (ความหวังดีของพ่อ-แม่) โดยแม่ชีทศพร

ปวดกระดูก (ความหวังดีของพ่อ-แม่) โดยแม่ชีทศพร




แม่ชีได้เป็นวิทยากรบรรยายธรรมในสถานที่ต่างๆ แม่ชีก็ได้ข้อคิดมากมายในเรื่องกฏแห่งกรรม มีโยมท่านหนึ่งบอกว่า ปวดตามกระดูก ตามข้อ พอตกตอนเย็นจะมีอาการปวดกระดูกเป็นทวีคูณ กินยาแก้ปวดก็ไม่หาย

แม่ชี “โยมขายเครื่องดื่ม โอเลี้ยง กาแฟร้อน กาแฟเย็นหรือเปล่า แม่ชีเห็นโยมตักน้ำแข็ง”

โยม “ขายค่ะ พ่อแม่ขายตั้งแต่หนูจำความได้”

แม่ชีขายน้ำแข็งตอนขายต้องตักน้ำแข็ง ใส่ถุงมือของพ่อแม่ต้องเจ็บปวดทุกครั้ง แต่เมื่อมันเป็นอาชีพก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขาย ได้เงินมาเท่าไหร่ ก็ส่งเสียให้โยมเรียน เรียนจนจบ ทำงานได้ก็ยังต้องขอเงินพ่อแม่ใช้ เพราะเงินเดือนไม่พอใช้ พ่อแม่เขาเต็มใจช่วยลูก เพราะเป็นลูกคนเดียว ความเย็นที่ต้องตักน้ำแข็งทุกวัน ส่งผลเป็นกรรมสะสม ส่งมาที่โยม คือปวดกระดูก ตามข้อ อย่างนี้เรียกว่าโรคกรรมค่ะ”

โยม “แม่ชีคะ ทำไมต้องมาปวดที่หนูล่ะค่ะ”

แม่ชี “ก็โยมเป็นคนใช้เงินนี่ค่ะ”

โยม “จะแก้อย่างไรดีค่ะ หนูปวดจนนอนไม่ได้”

แม่ชีอาชีพอะไรก็แล้วแต่ถ้าไม่สวดมนต์ แผ่เมตตาให้อุปกรณ์ในสัมมาอาชีพก็ต้องเป็นอย่างที่โยมเป็นนี่ล่ะค่ะ โยมมาปฏิบัติธรรมนะคะ แผ่เมตตาให้พ่อแม่ของโยมด้วย โรคนี้ต้องนั่งวิปัสสนาถึงจะหายค่ะ”

ญาติ โยมคงสงสัยว่า ทำไมในเมื่อค้าขายด้วยความสุจริตถึงมีกรรม ก็เพราะความเย็นของน้ำแข็งส่งความเย็นผ่านมือวันแล้ว วันเล่า เจ้าทุกข์ไม่เอาเรื่อง แต่กฎแห่งกรรมไม่ มีข้อยกเว้น โยมใช้เงินของพ่อแม่โดยไม่คำนึงถึงความลำบากของพ่อแม่ กรรมเลยส่งผลมาอย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุที่ทำให้ปวดกระดูกค่ะ”


ที่มา : เว็บแม่ชีทศพร
__________________
ก่อนแม่จะสิ้นใจ

เคล็ดลับในการปักธูป..และอานุภาพที่ได้

โดย หนังสือสยามดารา


ทุกท่านที่มีจิตใจน้อมนำในการปฎิบัติบูชา ย่อมเกิดอานิสงฆ์ของทางด้านจิตใจย่อมทำให้สงบลง ฟุ่งซ่านอะไรมาเวลาเราสวดมนต์ไหว้พระขอพรจะทำให้จิตใจเราที่กำลังร้อนรุ่ม กลุ้มใจอะไรอยู่ย่อมสงบลงได้ไม่มากก็ น้อยขึ้นแต่ละบุคคลไปว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนจึงมีกลบายวิธีที่จะทำให้เราจิต ใจสงบ ท่านไม่ต้องเชื่อแต่ลองปฎิบัติดูว่าจิตใจเราจะสงบและเย็นลงไหมนั้นย่อมขึ้น กับบุญบารมีที่สะสมมาแต่ชาติไหน

สังเกตุไหมว่า บางคนบุญทานไม่เท่ากัน บางคนก็รวย บางคนก็จน บางคนก็กลาง ๆ พอกินพอใช้ไปเรือยๆ อันนี้ส่งผลของบุญและทานแต่ชาติปางก่อนหรือชาติปัจจุบันก็ว่าได้ ฉะนั้นคนที่รวยมาก ๆ ก็เป็นอานิสงฆ์ของบุญเก่าที่เขาสะสมมามาก

แต่ที่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เวลาทำบุญทำทานก็อธิษฐานให้รวยถูกหวยรวยเบอร์ดังที่ต้องการเช่นกันไม่ เพียงแต่ทำบุญเพื่อหยั่งผลประโยชน์พุทธศาสนาสืบทอดต่อไปอย่าไปหวังบุญเพื่อ ให้ร่ำรวยถูกหวยรวยเบอร์รางวัลใหญ่ไม่ การประกอบผลบุญก็คือ.ให้จิตเราสงบเย็น และละความทิฐิมานะในกมลสันดานที่ขี้เหนียวในจิตใจให้มีแต่ให้ รวมไปถึงทานทีเราบริจาคไปย่อมได้อานิสงฆ์ที่ก่อเกิดขึ้นให้จิตเราสงบได้โดย มหัศจรรย์

มนุษย์เราถ้าจิตสงบแล้วอะไรทุกอย่างในปัญหาความรัก,การงาน,ความวุ่นวายใน สังคมก็ย่อมจะสงบตามไม่แบ่งชั้นวรรณะ รูปธรรม นามธรรมต่างๆ ให้เกิดการขัดแย้งกันขึ้นในสังคมทุกวันนี้

ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายน้อมจิตน้อมใจในปัญหาที่เกิด ขึ้นทั้งที่ไม่ดีที่เข้ามาในดวงชะตาชีวิตของเรา ที่นำพาให้เกิดทุกข์อันใหญ่หลวงนี้ ให้สงบและระงับไปในที่สุดโดยการหมั่นสร้างบุญ และ ทาน ทานศิล ภาวนา เช่นจิตเราไม่สงบก็หาอะไรที่เป็นทางออกที่ดีให้สงบเพื่อไปเป็นยาโอสถธรรมไป ระงับให้สงบลงได้

ก็คือการหันมาสวดมนต์ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงฆ์คุณ เพื่อจิตของเราที่กำลังทุกข์อยู่ให้สงบระงับลงไปบ้าง ต้องลองปฎิบัติดู ฉะนั้นการที่จะให้ถึงจิตถึงใจและสงบระงับจริงๆ ทุกรูปทุกนามย่อมต้องมีการสัมผัสรูป รส กลิ่น เสียง ซึ่งเป็นหลักของกิเลสมนุษย์

โดยเฉพาะการจุดธูปหอมๆ เมื่อเราได้กลิ่นของธูปแล้วจิตใจบางคนก็เกิดความสดชื่นแจ่มใส่ ขึ้นก็มี บางคนก็รู้สึกโล่งสบายใจก็มี (ยกเว้นคนที่ไม่ชอบกลิ่นอะไรฉุน ๆ มีอาการแพ้) ก็มีอันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งของธาตุแต่ละคนไป

เมื่อจุดธูปแล้วจะปักธูปให้ปักดังนี้.. ถ้าจุดธูป 3 ดอก ก็ให้ปักที่ละดอก ดอกละ 1 ปักตรงกลางกระถางธูป แล้วอีกสองดอกปักขวามือของเราและซ้ายตามเป็นสามดอก (ไม่ใช้ปักที่เดียวกำที่เดียว)ตรงกระถางธูปเลย ไม่ใช้.. ถ้าจุดธูป 5 ดอก ก็ปฎิบัติเดียวกับ 3 ดอก ที่เหลือ 2 ดอกก็ปักด้านบนและด้านล่าง ของกระถางธูป ..ถ้าจุดธูป 9 ดอก ก็ปฎิบัติเช่นเดียวกันกับ 5 ดอก ที่เหลือก็ปักมุมแต่ละมุมให้ครบ 9 ดอกโดยวนจากขวามาหาซ้ายภายในกระถางธูป

เหตุผลและอานุภาพปักธูปตามทิศ (กระถางธูป)

1.ธูปที่ปักตรงกลางกระถางธูปก่อน เทียมเท่ากับบูชาดวงชะตาทั่วไปของตนเอง

2.ธูปที่ปักขวาตรงกระถางธูปเทียมเท่ากับป้องกันอันตรายอาถรรพณ์เพศไม่ให้เกิดกับดวงชะตาตนเอง

3.ธูปที่ปักซ้ายตรงกระถางธูปเทียมเท่ากับให้เป็นเมตตามหาเสน่ห์กับดวงชะตาทั่วไป

4.ธูปที่ปักด้านบนกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศเหนือเพื่อเป็นศิริมงคลกับดวงชะตาตนเอง

5.ธูปที่ปักด้านล่างกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศใต้เพื่อเป็นศิริมงคลกับดวงชะตาตนเอง

6.ธูปที่ปักด้านเฉียงกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อเป็นศิริมงคลดวงชะตาตนเอง

7.ธูปที่ปักด้านเฉียงกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเป็นศิริมงคลดวงชะตาตนเอง

8.ธูปที่ปักด้านเฉียงกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศตะวันตกเฉียงใต้เพื่อเป็นศิริมงคลกับดวงชะตาตนเอง

9.ธูปที่ปักด้านเฉียงถระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อเป็นศิริมงคลกับดวงชะตาตนเอง



เป็นความเชื่อส่วนบุคคล กรุณาใช้วิจารณญาน

--------------
ที่มา:
Life Style @ Openmm.com

เคล็ดลับอายุยืนจากพระไตรปิฎก

แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปไกลแค่ไหน แต่ถ้าลองตรองให้ดี สุดท้ายเราจะพบความลับที่น่าสนใจว่า “สิ่งที่คิดว่าใหม่ทั้งหลาย แท้จริงเป็นสิ่งที่คนรุ่นเก่าคิดมาแล้วทั้งสิ้น”



อาจกล่าว ได้ว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นใหม่ในโลกนี้ ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เคยกำเนิดเกิดขึ้นมาก่อนแล้วทั้งนั้น ชั่วแต่ว่าเราจะนำภูมิปัญญาและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์มา ประยุกต์ใช้ได้มากเพียงน้อยเพียงใดเท่านั้น

แม้แต่ประเด็นทันสมัยอย่าง การชะลอความชรา ที่ ผู้คนในปัจจุบันกำลังให้ความสนใจ และนักวิทยาศาสตร์ได้ทุ่มเททุนทรัพย์มากมายเพื่อค้นคว้าวิจัย ก็เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้แนะวิธีไว้ให้ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วทั้งสิ้น
ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ได้ประทานโอวาทแก่พระเจ้า ปเสนทิโกศล ในเรื่องธรรมะที่ทำให้อายุยืนว่า

คนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา รู้จักประมาณในการบริโภค ย่อมมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า ครองอายุอยู่ได้นาน”

พระ เจ้าปเสนทิโกศลฟังแล้วไม่รอช้า มีรับสั่งให้มหาดเล็กท่องจำพุทธโอวาทนี้ได้ และคอยกล่าวขึ้นมาขณะที่พระองค์เสวยทุกมื้อ ไม่ช้าไม่นานผลดีก็บังเกิดแก่พระองค์ ทำให้ร่างกายแข็งแรงจนหาผู้ใดเทียบได้ยาก

นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้เคยตรัสกับพระอานนท์ไว้ด้วยว่า “อานนท์ ผู้อบรมอิทธิบาท ๔ มาอย่างดีและทำจนแคล่วคล่องแล้วอย่างเรานี้ หากปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึง ๑ กัลป์ (คือ ๔,๓๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้”

หนังสือ สูตรลับ Anti-aging จากพระไตรปิฎก ของนายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์อายุรวัฒน์ สรุปไว้ว่า อิทธิบาท 4 น่าจะเกี่ยวพันกับเรื่องอายุยืนโดยตรงเลยทีเดียว เพราะเมื่อพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทั้ง ฉันทะ วิริยะ จิตตะและวิมังสา ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเป็นสุขดังนี้

· ฉันทะ ทำให้มีความพึงพอใจในการกระทำต่างๆ คนเราถ้าชอบใจ พอใจสิ่งใดแล้ว ก็ย่อมจะรู้สึกว่าการนั้นไม่เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด ทำงานไปก็เหมือนได้พักผ่อนสบายใจ

· วิริยะ คือ ความเพียร ความสม่ำเสมอในการปฏิบัติตัวให้เป็นไปตามแนวทางที่ถูกที่ควร

· จิตตะ คือ ความจดจ่อใส่ใจ ซึ่งจะทำให้เกิดสมาธิและความสงบขึ้น ชีวิตจึงไม่ร้อนรน ว้าวุ่นไปตามกระแสของโลก

· วิมังสา คือ การใคร่ครวญ ให้เหตุผลและสติปัญญานำทางชีวิต




จะเห็นได้ว่าธรรมทั้งสี่ประการนี้ นอกจากจะทำให้อายุยืนแล้วยังเป็นหลักที่จะนำความสำเร็จมาสู่ชีวิตด้วย
  1. สัปปายการี ให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่สบายและเกี้อกูลแก่สุขภาพ เช่น ทำงานในที่อากาศปลอดโปร่ง ไม่เครียดกับงาน
  2. สัปปาเย มัตตัญญู ต้องรู้จักพอดีในสิ่งที่สบายนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าสบายมากจนกลายเป็นนอนหงายขี้เกียจอยู่ทั้งวัน
  3. ปริณตโภชี รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา ไข่ขาว ผักผลไม้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ย่อยยาก เช่น เนื้อแดง
  4. กาลจารี ใช้ชีวิตให้เหมาะสมในเรื่องเวลา ไม่เคร่งเครียดบังคับตัวเองมากเกินไป รู้จักจัดเวลาให้พอดี ไม่หักโหมเกินกำลัง
  5. พรหมจารี ถือพรหมจรรย์ตามความเหมาะสม รู้จักปล่อยวางบ้าง อย่าเคร่งเครียดเบียดตัวเองจนตกขอบ ปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ ถือศีลกินเจตามสมควร และหมั่นขัดเกลาจิตใจให้กิเลสเบาบางลง
เมื่อพระให้ศีลให้พรมักจะลงท้ายด้วย “อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง” เพราะพรสี่ประการนี้เป็นสมบัติอันประเสริฐ เลิศยิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ นายแพทย์กฤษดากล่าวว่า ในเรื่องอายุ พระท่านไม่ได้หวังให้เรามีอายุยืนนานแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ท่านมุ่งหวังให้เรามีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้อายุที่ยืนยาวนี้มีส่วนสร้างปัญญาหาทางพ้นทุกข์ให้แก่ตัว ไม่มัวเมากับสิ่งเร้าภายนอกทั้งหลาย


ส่วนวัณโณหรือ ผิวพรรณนั้น มีรากฐานสำคัญมาจากการเป็นผู้มีศีล ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด หากมีศีลเป็นวัตรประจำใจ ผิวพรรณย่อมดีอยู่เสมอ เพราะเมื่อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทุกข์ร้อนจะไม่มากล้ำกราย เลือดลมจึงเดินสะดวก ทำให้ผิวพรรณผ่องใส

สำหรับสุขัง การที่บุคคลจะมีสุขได้นั้น จำต้องมีองค์ประกอบหลักๆคือ มีปัจจัยสี่พร้อม รวมทั้งมีสติและปัญญา รู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา ไม่ปรุงจิตให้ขึ้นลงตามสิ่งที่มากระทบ และหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ในทางที่ถูกที่ควร
ส่วนท้ายสุด พะลัง(พลัง) มีอยู่สองอย่าง คือ กำลังกายและกำลังใจ ที่ต้องหมั่นฝึกฝนเตรียมพร้อมไว้รับมือกับความเปลี่ยนแปลง ด้วยการหมั่นออกกำลังกายและหมั่นฝึกจิตให้เข้มแข็งอยู่เสมอ

แม้ เราจะพยายามต้านทานความชราไว้เพียงใด แต่สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ต้องเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน การใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท หมั่นดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอทั้งกายและใจ จะช่วยให้เราเป็นผู้มีอายุยืนอย่างมีความสุข และสามารถสร้างประโยชน์ให้สังคมได้อย่างยาวนานที่สุด


เคล็ดลับชะลอวัยของนายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช

· เลี่ยงอาหารที่อร่อยลิ้นจนเกินไป
· เลี่ยงของทอดของมัน น้ำตาลและแป้งขาว
· อย่ากินอาหารแบบเดิมซ้ำๆ จะนำโรคมาให้
· อย่าเสียดายจนตายด้วยปาก
· อย่าอยากเหล้ายาและกาแฟจะแก่เร็ว
· กินให้น้อย พลอยสดใส ไม่มึนหัว


ที่มา
บทความจากนิตยสารซีเคร็ต

ท่องคาถาให้ขลัง




ถาม : เรื่องเกี่ยวกับคาถาสมัยก่อน....?

ตอบ: สมัยนี้ก็ขลัง สำคัญว่าโยมทำจริงมั้ย ? เรื่องของเวทย์มนต์คาถามันเป็นบาทของอภิญญา คนจะทำอภิญญาต้องเป็นคนเด็ดขาด จริงจัง สม่ำเสมอ ไม่ย่อท้อ สมัยนี้บอกให้ไปท่องคาถา หลวงพ่อท่านมีคาถาอยู่บท เรียกว่า คาถาเงินล้าน ถ้าหากว่าใครท่องจะรวย ท่านบอกว่าอย่างน้อยให้ท่อง ๗ จบ ๙ จบ โยมหลายคนมาบ่น บอกอยากจะรวย ถามว่ารู้จักคาถาเงินล้านมั้ย ? รู้...แล้วเคยท่องมั้ย ? เคย ท่องวันละกี่จบ ? หนึ่งจบ มันน่ารวยอยู่หรอก อาตมาบอกไปท่องไม่ต้องมาก วันละ ๑๐๘ หรือ ๓๐๐ จบก็ได้ เขาถามแล้วอาจารย์เคยท่องวันละกี่จบ ? บอกเคยท่องสูงสุดประมาณ ๑,๒๐๐ มันหมดวันซะก่อน คือท่องกันแบบเอาคุณภาพ ไปช้าๆ อย่ารีบ เหมือนกับกินข้าว ค่อยๆ เคี้ยวหน่อย เอาคุณภาพ ว่าไปเรื่อยๆ สบายๆ ใจไม่ต้องไปนึกอะไร คิดว่าเราทำเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ของที่ดีที่สุดที่ครูบาอาจารย์ให้มา หน้าที่ของเราคือท่องบ่นเป็นการรักษาไว้ ถ้าเราทำอย่างแบบนี้ จริงจัง สม่ำเสมอ ไประยะหนึ่ง ผลที่มันสะสมตัวมามันจะเริ่มเกิดมันก็จะส่งให้ จุดที่คาถาให้ผลจริงๆ ก็คือ กำลังใจของเราที่เป็นสมาธิ ยิ่งท่องเป็นสมาธิสูงเท่าไหร่ คาถายิ่งให้ผลมากเท่านั้น

สมัยก่อนเขาท่องกันจริงจังสม่ำเสมอ อาตมาเคยรู้จักอดีตโจรคนหนึ่ง แก่มากแล้ว เรียกแกว่า ลุง ถามว่าสมัยของลุงทำไมมันหนังเหนียวกันเยอะแท้ สมัยของพวกผมไม่เห็นได้อย่างลุงเลย บอกไอ้หนูลุงถึงจะเป็นโจร แต่ถ้าหากว่ารู้ตัวเมื่อไหร่ต้องรีบภาวนา เพราะเราไม่รู้ว่าเจ้าทรัพย์จะฆ่าเราหรือเปล่า ? ไม่รู้ว่าตำรวจจะยิงเราหรือเปล่า ? ว่างเมื่อไหร่ต้องภาวนา โอ้โห...ยิ่งกว่าพระอีก เพราะฉะนั้นเขาทำกันอย่างจริงจังสม่ำเสมอ และพวกนี้เขามีสัจจะ คำว่ามีสัจจะ อย่างโจรสมัยก่อนไปปล้น เขามีสัจจะอยู่ ถ้าหากว่าเป็นของที่เขาใช้อยู่จะไม่เอา เอาเฉพาะของที่เขาเก็บ เป็นของที่เขาเก็บก็จะไม่เอาหมด เอาครึ่งหนึ่ง เอาหนึ่งในสาม อะไรอย่างนี้ ถ้าหากเป็นของทำบุญนี่ จะไม่แตะต้องเลย

อาตมาอยู่นครปฐม มีโจรดังอยู่คนหนึ่ง คือ เสือผาด ทับสายทอง วันนั้นแกตั้งใจจะไปปล้นโรงสี ปักป้ายล่วงหน้าไว้ ๗ วัน ถึงวันนั้นฉันไปปล้นแน่ ถ้าอยากจะสบายๆ ก็เก็บเงินเก็บทองใส่กำปั่นรอไว้ ถึงเวลาไปหิ้วเสร็จ ก็จะไปเลย ไม่รบกวนอะไร ถ้าคิดจะสู้ ก็ไปหาคนมา ไปแจ้งตำรวจมาจะได้ฟัดกัน ปรากฏว่าเข้าไปถึงในงาน เถ้าแก่โรงสีกำลังบวชลูกชายอยู่ เสือผาดแทนที่จะได้สตางค์ ต้องควักตัวเองไป ๘๐๐ ไปให้เขา ถ้าทำบุญอยู่เขาไม่ยุ่งเลย แล้วอีกอย่างถ้าไปบ้านไหน เขาเคยให้ข้าวให้น้ำกิน เขาถือเป็นผู้มีบุญคุณ ให้อาหารเป็นการต่อชีวิต เขาจะไม่รบกวนบ้านนั้นอีกเลย

สมัยนี้ไม่มีหรอก มันปล้นกระทั่งพ่อแม่ตัวเอง ข่าวหนังสือพิมพ์ ดูหรือเปล่า มันเป็นสายให้เขาไปปล้น ให้เขาไปขโมยบ้านตัวเองก็มี ในเมื่อไม่มีความจริงจัง ความสม่ำเสมอ ขาดสัจจะ เรื่องเหล่านี้ทำไป ก็ไม่มีผล สมัยก่อนสัจจะเขามี ครูบาอาจารย์ห้ามอะไรเขาจะทำตามนั้น ห้ามด่าแม่คนอื่น ห้ามลอดราวผ้า ลอดใต้ถุนบ้าน เขาทำกันอย่างนั้นเลย

ปัจจุบันอาตมาก็เจอหลายคน เดินๆ ไป เห็นเขามองโน่นมองนี่ เลยถามว่าทำไม ? ระวังอยู่ กลัวจะไปลอดอะไรเข้า ถ้าอย่างนั้นเอ็งไม่ต้องเข้ากรุงเทพ เข้ากรุงเทพเมื่อไหร่ สะพานลอยเพียบ (หัวเราะ) เดี๋ยวมันก็ลอดจนได้ ทำให้จริง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของคนจริง ต้องทำจริงจัง แล้วจะมีผล ส่วนใหญ่ไปทำๆ ทิ้งๆ ยังไม่ทันจะเกิดผลก็ท้อเสียก่อน




สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
__________________
เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพมหากฐินสามัคคีวัดท่าซุง ในนามเว็บพลังจิต ปีที่ 4 l ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสร้างตึกฝึกกรรมฐานและผ้ากฐินสีเงินประดับคริสตัล l ร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ l ร่วมไถ่ชีวิตโค-กระบือ l ช่วยวัดพระบาทน้ำพุด่วน

ทำบุญโดยการภาวนาอย่างเดียว



ถาม : ในอานิสงส์ของการทำบุญทั้งหมด เช่นว่า ให้ทานมีผลน้อยกว่ารักษาศีล แล้วก็น้อยกว่าการภาวนา จะเห็นได้ว่าการภาวนาเป็นบุญสูงสุด เราจะทำบุญโดยการภาวนาอย่างเดียวจะดีหรือไม่ ?

ตอบ: การ ที่เราภาวนาอย่างเดียว ถ้าสมมุติว่าต้องเกิดใหม่อีกจะเป็นคนมีปัญญามาก การที่เราให้ทานเราเกิดใหม่อีกเราจะมีทรัพย์สมบัติมาก การที่เรารักษาศีลเราเกิดใหม่อีกจะเป็นคนมีจิตใจดีงามมีหน้าตาสวยงามมาก

คราวนี้ถ้าเราเกิดมารวยหน้าตาขี้ริ้วขี่เหร่ ปัญญาไม่ดีมันก็เจ๊งเหมือนกันใช่มั้ย ? หรือไม่ก็เกิดมาปัญญาดีแต่สตางค์ไม่มีก็อยู่ลำบาก หรือไม่ก็รวยซะแทบแย่เลยแต่หน้าตาไม่เอาไหนใครเขาก็ไม่มอง เอ๊ะ!หรือสมัยนี้มันมอง ? เพราะฉะนั้นจริงๆ ก็คือ ควรทำทั้ง ๓ อย่างให้เสมอกัน

ถาม : เขาชอบพูดกันว่าเวลาจะให้ทานใดก็ให้นึกถึงตัวเราเองก่อนว่าเราจะลำบากหรือ ไม่ เรื่องอารมณ์ในจาคานุสสติ ในทางปฏิบัติให้ตั้งเจตนาไว้อย่างไรบ้าง ?

ตอบ: จริงๆ ก็คือ ให้ตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสเมื่อไรเราจะให้ แต่คราวนี้ว่าในเรื่องของทานนี่นอกจากจะดูว่าเจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้คือตัวเราทรงศีลบริสุทธิ์ ผู้รับก็คือภิกษุสามเณรทรงศีลบริสุทธิ์อย่างนี้ หรือไม่ก็คนทั่วๆ ไปที่เราจะสงเคราะห์เขามีศีลบริสุทธิ์ ถึงจะมีประโยชน์เต็มร้อยส่วน

แต่ว่าท่านก็บอกเอาไว้ว่า เวลาให้แล้วต้องไม่ให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อนถึงจะเป็นทานที่ดีจริง ถ้า เราให้แล้วคนรอบข้างและตัวเองเดือดร้อน อาจจะทำให้กำลังใจของเราตกได้ หรือคนอื่นเขาตำหนิได้ แต่เรื่องพวกนี้ต้องยกให้คนประเภทหนึ่ง คนประเภทนี้เขาเรียกว่า “พระโพธิสัตว์” ประเภทนี้ท่านขอให้มี กูให้ ไม่มีอะไรจะให้สละชีวิตเป็นทานก็ได้ ควักลูกตาให้ก็ได้ เชือดเนื้อให้ก็ได้ ควักหัวใจให้ก็ได้ ตัดหัวให้ก็ได้ กำลังใจประเภทนี้ไม่ใช่กำลังใจของคนทั่วๆ ไป อย่าไปเลียนแบบท่าน ยกเว้นว่าเราเป็นคนระเภทเดียวกับท่านก็เอาเถอะ

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่า “มังคละ” ท่าน ได้สละบุตรธิดาเป็นทาน ยักษ์มันหิวขอลูกไปกิน แล้วมันก็ร้ายมากพอส่งให้นี่มันเคี้ยวกินต่อหน้าเลย ถ้าเป็นเราก็ลากบาซูก้ามายิงเลย (หัวเราะ) แต่ว่าในอรรถกถาท่านบอก ว่า พระองค์ท่านจักมีความหวั่นไหวแม้ซักน้อยหนึ่งก็มิได้ ไม่ได้มีเลย มั่นคงในทานบารมีขนาดนั้น รู้ว่าเขาต้องการก็ให้แม้แต่ลูกที่ตัวเองรักที่สุด มันแสบจริงๆ เลยเจอไอ้ยักษ์ประเภทนี้เข้า มันเล่นกินต่อหน้าเลย





สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมกราคม ๒๕๔๗(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



. __________________
สร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก 10 วา
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=65729


ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ "สมเด็จองค์ปฐม" ก้บวัดธรรมยาน

http://board.palungjit.com/f105/ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์-สมเด็จองค์ปฐม-ก้บวัดธรรมญาณ-119095.html

การตำหนิติเตียนผู้อื่น...ไม่ดีเลย โดยหลวงปู่มั่น ภูริทัตตะเถระ

การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย
ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม
ไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน

การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์
จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย
ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง





ที่มา หนังสือ ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ
การตำหนิติเตียนผู้อื่นไม่ดี (หลวงปู่มั่น)

อภินิหารและแนวทางการเทศน์ที่ไม่เหมือนใครของสมเด็จโต


เรื่องราวของท่านที่ได้ยินมามีมากมาย ทั้งเรื่องอภินิหารและแนวทางการเทศน์ที่ไม่เหมือนใคร


มีฝรั่งต่างชาติรู้มาลองภูมิปัญญาท่านสมเด็จโตว่า "จุดศูนย์กลางของโลกอยู่ตรงไหน?" ท่านสมเด็จตอบฝรั่งไปว่า"จุดศูนย์กลางของโลกนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง บนพื้นผิวโลก ไม่ว่าฉันจะไปยืน ณ ที่ใดตรงนั้นคือจุดศูนย์กลางของโลก " ฝรั่งถามว่า ท่านพิสูจน์ให้เห็นได้ไหม ? ท่านสมเด็จตอบว่า"ฉันพิสูจน์ได้แล้วท่าน จะว่าอย่างไร "ฝรั่งไม่ตอบ จากนั้นสมเด็จโตก็ถือตาลปัตรมือหยิบสายสิญจน์แทนเชือก เอาสายสิญจน์ผูกที่ตาลปัตรเอาตาลปัตรปักดินแลังดึง เชือกสายสิญจน์ ให้ตึงกางออก ใช้ปลายนิ้วแทนดินสอ จากนั้นก็ลากลงบนพื้นดินเป็นวงกลม ท่านสมเด็จบอกว่า วงกลมคือโลกเพราะฉะนั้นฉันยืนอยู่จุดศูนย์กลางของโลก ตรงจุดที่ตาลปัตรปักดินนั้นแหละ เมื่อเป็นเช่นนี้ฝรั่งยอมแพ้กลับไป

มีคนชอบไปขอหวยกับท่านเป็นประจำ มีครั้งหนึ่ง มีหญิงมาขอหวยท่านสมเด็จโต แอบมานัดกับเด็กวัด โดยแนะให้ขึ้นไปคุยกับท่านสมเด็จโตบนกุฏิ ให้เด็กวัดชวนพูดแล้วบีบนวดไป จากนั้นเด็กวัดก็ถามท่านสมเด็จโตว่า "ท่านตา ท่านตา หวยงวดนี้มันจะออกอะไร " เมื่อท่านสมเด็จโตได้ยินดังนั้น ท่านก็ตอบว่า "ข้าตอบไม่ได้โว้ย เดี๋ยวหวยของข้าจะรอดร่อง" ขณะนั้นก็บังเอิญหญิงคนนี้แอบอยู่ใต้ถุนกุฏได้ยินสมเด็จโตพูดอย่างนั้นก็ เปิดแน่บไปเลย

มีครั้งหนึ่งขณะที่ท่านสมเด็จโตกำลังจะไปธุระ บังเอิญเรือติดหล่มต้องเข็นเรือกัน ท่านสมเด็จโตได้เอาพัดยศวางไว้ในเรือแล้วรีบมาช่วยคนอื่นซึ่งเป็นลูกศิษย์ เข็นเรือ บังเอิญชาวบ้านแถบนั้นแลเห็นเข้าหัวเราะชอบใจขบขัน พูดตะโกนออกมาว่า "ดูท่านสมเด็จเข็นเรือ" เสมือนหนึ่งล้อเลียนท่าน ในเชิงปัญญาขบขัน เมื่อเป็นเช่นนั้นสมเด็จโตก็พูดออกมาว่า "สมเด็จเขาไม่ได้เข็นเรือหรอกจ้ะ สมเด็จท่านอยู่บนเรือ" ว่าแล้วท่านสมเด็จโตก็ชี้มือไป ที่พัดยศในเรือ เมื่อชาวบ้าน ต่างได้ยินได้ฟังแลเห็นเช่นนั้น ก็เงียบกริบ

มีครั้งหนึ่ง ท่านในหลวงได้มีราชโองการโปรดเหล้าให้ท่านสมเด็จโตเข้าเฝ้าถวายพระธรรมเทศนา ในวัง เมื่อสมเด็จโตท่านมาถึงนั่งธรรมมาสก์เสร็จ ก็เอ่ยปาก พูดว่า "ดีพระมหาบพิธก็รู้ชั่วพระมหาบพิธก็รู้ เพราะฉะนั้นวันนี้อากาศแจ่มใสดี เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้" เมื่อเจ้าหลวงได้ยินดังนั้น ก็แลเห็นท่านโตลุก จากธรรมมาสก์แล้วมิได้มองเจ้าหลวง เจ้าหลวงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากเรียกสมเด็จโตว่า ท่านโต ท่านโต ทำไมถึงเทศน์จบเร็วจัง ท่านโตก็เฉลยว่า ที่พูดว่า อากาศแจ่มใสดี ดีก็รู้ ชั่วก็รู้ ก็หมายถึงว่าวันนี้จิตใจของพระมหาบพิธรื่นเริงสดชื่น ปราศจากความหม่นหมองใจ ก็คือความหมายที่ว่าอากาศแจ่มใสดี อาตมาจึงเทศน์เพียงเท่านี้ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร เมื่อพระมหาบพิธได้ยินดับนั้นก็รู้สึกเข้าใจในความหมายเทศน์

อีกครั้งหนึ่ง ขณะที่เจ้าหลวงเชิญสมเด็จโตมาเทศน์ วันนั้นท่านโตเทศน์นานแล้วนานเล่าจนกิริยาอาการของเจ้าหลวงเริ่มเหนื่อย หน่ายหงุดหงิด พอท่านโตเทศน์ เสร็จบเจ้าหลวงถามท่านโตว่า ท่านโตวันนี้ทำไมถึงเทศน์นานจัง เราเมื่อย เหนื่อย อยากจะถาม ท่านโตได้ยินดังนั้นก็ตรัสตอบไปว่า ก็วันนี้จิตใจของมหาบพิธ เต็มไปด้วยความทุกข์เร่าร้อนในอารมณ์ตลอดเวลา จึงเทศน์ให้มันเย็นจึงนานไปหน่อย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านสมเด็จโตได้ออกจากกุฏิมุ่งหน้าไปธุรกิจ แจวเรือผ่านไปตามคลองชาวบ้านก็แลเห็น ต่างก็พูดขอหวยท่านโตต่าง ๆ นานารู้กิตติศัพท์ว่า ท่านให้แม่น สงสารคนจน และเวลาเทศนาธรรมที่ใด ท่านสมเด็จได้เงินกัณฑ์เทศน์มา ก็นำมาแจกชาวบ้านและเด็กจน ๆ แม้แต่สตางค์ แดงเดียวก็มิเอา ครั้นพอขากลับวัด ท่านสมเด็จโตก็ซื้อหม้อขนมาเต็มลำเจตนารมณ์จะบอกใบ้ให้ชาวบ้านจน ๆ ตึปริศนาไปแทงกัน เพราะรู้ว่าหวยจะต้องออก "ม" มอม้า วันนี้ จึงซื้อหม้อมาเต็มลำเรือ บังเอิญชาวบ้านที่ท่านสมเด็จโตแจงเรือผ่านมาตามริมคลองแลเห็นเข้าต่างก็ ตะโกนพูดว่า "ท่านโตเป็นอะไรทำไมถึงซื้อหม้อมา เยอะแยะนะ" แต่ก็มีชาวบ้านที่ปัญญาฉลาดตีความถูก วันนั้นพอเห็นท่านโตซื้อหม้อมาเยอะแยะรู้ว่าหวยออก ม. มอม้า จึงรีบไปแทง ครั้นพอหวยประกาศ ออกมาปรากฏว่า ออก "ม" มอม้า

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ไปในงานพระราชพิธิเฉลิมพระราชมณเฑียรที่พระนครคีรี พร้อมกับบรรจุพระบรมธาตุในพระเจดีย์ศิลา เมือเดือนพฤษภาคมปีจอ พ.ศ.2405 ด้วยขากลับท่านออกเรือจากปากอ่าวบ้านแหลมจะข้ามมาอ่าวแม่แลอง เวลานั้นคลื่นลมจัดมาก ชาวบ้านห้ามท่านก็ไม่ฟัง แล้วท่านได้ออกมายืนที่หน้า เก๋งเรือ โบกมือไปมา ไม่ช้าคลื่นลมก็สงบราบคาบ

คราวหนึ่งมีการก่อพระเจดีย์ทรายที่ในวัดระฆัง ประจวบกับวันนั้นมีเมฆฝนตั้งมืดคลึ้ม คนทั้งหลายเกรงฝนตก จึงไปกราบเรียนปรารภกับเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ท่านได้กล่าวพร้อมกับโบกมือว่า "ตกที่อื่น ๆ" ว่าน่าประหลาดที่ในวันนั้นปรากูฎว่าฝนไปตกที่อื่นหาได้ตกที่ในตำบลศิริราช พยาบาลไม่

คราวหนึ่งเขานิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปในงานพิธีโกนจุกที่จังหวัดอ่างทอง ท่านได้เริ่มออกเดินทางก่อนถึงกำหนดเวลาเพียง 3 ชั่วโมง มีผู้สงสัยว่า ท่านจะไปทันเวลากำหนดได้อย่างไร ถึงกับได้สอบถามไปยังเจ้าภาพในภายหลังต่อมา ก็ได้รับคำตอบว่าท่านไปทันเวลาตามฎีกาทุกประการ

คราวหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปธุระทางแขวงจังหวัดนนทบุรีด้วยเรือแจว ขอกลับพอมาถึงปากคลองสามเสน เด็กศิษย์คนหนึ่ง ได้เอากะโหลกออกไปตักน้ำ จะเนื่องด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ กะโหลกนั้นได้พลัดหลุดจากมือจมลงไปในแม่น้ำ ท่านพูดว่า "งมที่นี้ไม่ได้เพราะน้ำลึก ต้องไปงมที่หน้าวัดระฆังจึงจะได้" เมื่อถึงวัดระฆังท่านจึงให้เด็กศิษย์นั้นลงไปงมทื่หน้าวัด ก็ได้กะโหลกลมจริงดังที่ท่านบอก

กล่าวกันว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไม่มีเงินติดตัว เพราะท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยมักน้อยไม่เก็บสะสม แต่น่าประหลาดที่ท่านสามารถสร้าง ปูชนียวัตถุสถานใหญ่ ๆ โต ๆ สำเร็จหลายแห่ง (บางแห่งสร้างค้างไว้ เช่นพระโตวัดอินทรวิหารว่าท่านประสงค์จะให้ผู้อื่นสร้างต่อบ้าง) มีผู้ได้พยายามสังเกตกันนักหนาแล้วแต่ก็ไม่ทราบ ว่าท่านเอาเงินมาแต่ไหน พระเทพราชแสนยาว่าควาวหนึ่งจึนช่างปูนไปขอเงินค่าจ้างก่อสร้างจากเจ้าประคุณ สมเด็จ ฯ 1 ชั่ง (80 บาท) ท่านบอกให ้หลวงวิชิตรณชัยหลายชาย ไปเอาเงินที่ใต้ที่นอนของท่าน หลวงวิชิต ฯ กลับมากราบเรียนว่า ได้ไปค้นหาดูแล้วไม่เห็นมีเงินอยู่เลย ท่านสั่งให้ไปค้นหาใหม่ ก็ได้เงิน 1 ชั่ง เรื่องนี้หลวงวิชิต ฯ ว่าน่าประหลาดนักหนา

มีสิ่งหนึ่ง ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทำไว้ที่วัดระฆัง คือน้ำมนต์ จะเขียนแทรกลงไว้ตรงนี้ มีคำเล่ากันว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ปลุกเสกลงเลขยันต์ศิลา 3 ก้อน ก้อนหนึ่ง เอาไปไว้ที่ในสระหลังวัด (สระนี้ตื้นเขินนานแล้ว) ก้อนหนึ่งเอาไว้ในสระกลางน้ำ (สระนี้ยังมีปราฏอยู่) อีกก้อนหนึ่งเอาไว้ในแม่น้ำตรงหน้าวัด (ห่างเขื่อนราว 2 วา ประมาณว่าอยูตรงกลางโป๊ะท่าเรือ) ว่าน้ำในที่ทั้งสามแห่งนั้น มีคุณานุภาพศักดิ์สิทธิ์ต่างกัน คือน้ำที่สระหลังวัด อยูคงกระพันชาตรี น้ำที่สระกลางวัด ทางเมตตามหานิยม น้ำที่หน้าวัดทำให้เสียงไพเราะ (เหมาะกับนักร้อง) และว่าเมื่อจะตักน้ำที่หน้าวัดน้ำให้ตักตามน้ำ (ห้ามตักทวนน้ำ) ถ้าน้ำนิ่งให้ตักตรงไป

อภินิหารของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ นับถือกันสืบมา จนเมื่อท่านถึงมรณภาพแล้ว ว่ากันว่าเพียงแต่ตั้งจิตระลึกถึงท่าน ก็ยังให้เกิดประสิทธิผลอย่างน่ามหัศจรรย์






www.prasomdej.com

________________
เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพมหากฐินสามัคคีวัดท่าซุง ในนามเว็บพลังจิต ปีที่ 4 l ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสร้างตึกฝึกกรรมฐานและผ้ากฐินสีเงินประดับคริสตัล l ร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ l ร่วมไถ่ชีวิตโค-กระบือ l ช่วยวัดพระบาทน้ำพุด่วน