7/29/2009

โครงการกฐินแสนกอง ปี2552 ปีที่ 4




โครงการเรา จะทยอยทอดกฐินไปเรื่อยๆจนให้ครบ 1 แสนกอง

อาจจะใช้เวลาหลายปี

สมมุมติว่าปีแรกเราทอด 300 กอง คนที่บริจาคมาในปีนี้ ก็ได้อานิสงส์ กฐิน 300 กอง

ไม่ได้หมายความว่า ทอดทีเดียว ปีเดียว แสนกอง...

เมื่อเราทอดปีละหลายๆกอง เราทอดทุกปี รวมกันจึง จะครบกฐินแสนกอง....


พอปีไหน ครบแสนกองแล้ว ปีต่อไปก็เริ่ม แสนที่ 2
เป็นทอดกฐิน 2 แสนกอง..แต่ว่า คนที่มาทอดทีหลังอาจจะไม่ได้ถึง แสน สองแสนกอง
ตามปีที่เรากำหนด แต่อาจจะครบแสนได้ ถ้าทอดเรื่อยๆ


ทอดกฐิน แสน กอง ---(สร้างประโยชน์ให้พระในวัด แสนครั้ง กระจายในวงกว้าง ครอบคลุมทั่วประเทศ...
เป็น การจรรโลงพระศาสนาให้รุ่งเรืองถาวรสืบไป ผู้ที่ได้ทำบุญก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้ำจุนพระศาสนาผู้ที่ได้รับคือพระภิกษุ สงฆ์ได้อาศัยปัจจัยสี่เป็นการดำรงขึ้นให้มีติดอยู่เพื่อปฏิบัติธรรม เพื่อสั่งสอนธรรมแก่ชาวโลกเป็นการสืบศาสนาให้ถาวร ซึ่งชาวพุทธควรจะปฏิบัติพิธีอันดีงามนี้ให้ถาวรสืบไป)

กำหนดจิต แสน ครั้ง ---(ฝึกจิตแสนครั้ง)

ได้อานิสงส์คูณ แสน----(ได้พลังบุญมหาศาลแสนเท่าตัว)


กฐินแสนกองเปรียบเสมือนสายฝนตกลงมาเม็ดเล็กๆ แต่ตกกระจายครอบคลุมพื้นที่จำนวณมาก

ดำเนินการโดย

เราเปิดรับบริจาคและเราจะโอนเงินทางธนาคารเข้ากับกองกฐินวัดหรือคณะกฐินอื่นๆเพื่อไปทอดกฐิน โดยแบ่งเงินออกเท่าๆกัน เงินทีท่านบริจาคมาส่วนหนึ่งจะเฉลี่ยออกเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโครงการกฐิน เช่น ค่าธรรมเนียมโอนเงินเข้าบัญชีวัดต่างจังหวัด เป็นต้น




เปิดให้ร่วมทำบุญจนถึง ปิดรับ วันที่ 2 ตุลาคม 2552 แล้วก็จะปิดรับสำหรับกฐินในปีนี้


ร่วมทอดกฐินโดยโอนเงินได้ที่




ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด
สาขาย่อย เทสโก้โลตัส หลักสี่
ชื่อบัญชี นายณัฐพัชร จันทรสูตร
เลขที่บัญชี 282 - 209444 - 9




รายชื่อวัดที่จะทอด ในโครงการกฐินแสนกอง ปี2552


__________________________________________________________________

เรื่องของอานิสงส์





1. ทำบุญทางธนาณัติตายจากคนไป...แล้วไปเกิดบนสวรรค์
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=40675



************************************************


2. อานิสงส์การทอดกฐินและการทอดผ้าป่า โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ผู้ถาม
การทอดผ้าป่า กับการทอดกฐิน อย่างไหนได้อานิสงส์มากกน้อยกว่ากันคะ.........?

หลวงพ่อ
ความจริงผ้าป่า กับกฐิน เป็น สังฆทาน ด้วยกันทั้งคู่นะ
แต่ทว่าอานิสงส์โดยเฉพาะกฐิน ได้มากกว่าเพราะกฐินมีเวลาจำกัด
จะทอดตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ แต่อานิสงส์ได้ทั้งสองฝ่าย คือผู้ทอดก็ได้ พระผู้รับก็ได้ พระผู้รับมีอำนาจคุ้มครองพระวินัยได้หลายสิกขาบท ทำให้สบายขึ้น

การทอดกฐินครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านเคยเทศน์คือ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุมมุตตระ ท่านเคยเทศน์วาระหนึ่งสมัยที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นมหาทุกขตะ
คำว่ามหาทุกขตะนี้จนมาก เป็นทาสของท่านคหบดี ท่านเอาเสื้อผ้าเก่า ๆ ของตนนำไปแลกกับด้ายหนึ่งกลุ่ม เข็มหนึ่งเล่ม เอามาร่วมในการทอดกฐินกับเจ้านาย เพื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
ท่านกล่าวว่า การทอดกฐินครั้งหนึ่ง จะปรารถนาพุทธภูมิ ก็ได้ จะปรารถนาเป็นอัครสาวกก็ได้ จะปรารถนาเป็นพระอรหันต์ก็ได้

แต่ถ้าหากว่ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใดอานิสงส์จะให้ผลท่านผู้นั้น
เมื่อตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดา แล้วลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ๕๐๐ ชาติ
เมื่อบุญน้อยลงมาจะเป็นพระมหากษัตริย์ ๕๐๐ ชาติ เป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ เป็นอนุเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ เป็น คหบดี ๕๐๐ ชาติ

แต่คนที่ทอดผ้ากฐิน หรือว่าร่วมในการทอดผ้ากฐินครั้งหนึ่งก็ดี บุญบารมีส่วนนี้ยังไม่ทันจะหมดกก็ปรากฏว่าท่านเจ้าของทานไปนิพพานก่อน

ผ้าป่า ก็เป็นสังฆทาน แต่อานิสงส์จะน้อยไปนิดหนึ่งแต่ทั้งสองอย่างก็เป็นสังฆทานเหมือนกัน แต่เป็นสังฆทานเฉพาะกิจ กับสังฆทานไม่เฉพาะกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าป่า ผู้ให้ก็ได้อานิสงส์ ผู้รับมีอานิสงส์แต่เพียงแค่ใช้ เป็นอันว่าทั้งสองอย่างนี้ถือว่าอานิสงส์การทอดกฐินมากกว่าผ้าป่า แต่ว่าการทอดกฐินปีหนึ่งครั้งเดียว ผ้าป่าทอดได้หลายครั้ง อานิสงส์ผ้าป่าย่อมได้มากกว่านะ

ผู้ถาม
องค์กฐิน ที่แท้จริง เป็นอย่างไรคะ........?

หลวงพ่อ
องค์กฐิน จริง ๆ คือผ้าไตร นอกนั้นเป็นบริวาร เวลา กรานกฐินจริง ๆ เรากรานได้แต่ผ้า
การถวายก็ไม่ยาก เรามีผ้าจีวรผืนหนึ่งหรือว่าสบงผืนหนึ่ง หรือว่าสังฆาฏิผืนหนึ่ง อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ จะถวายทั้งไตรก็ได้ ถวายมากก็ได้ ถวายน้อยก็ได้ อานิสงส์เหมือนกัน โดยเฉพาะที่วัดนี่ (วัดท่าซุง) จัดเป็นกฐินสามัคคี เป็นเจ้าภาพร่วมกันทุกคนได้อานิสงส์เท่ากันหมด

http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=5279

***********************************************



3. อานิสงส์ กฐินทานในพระไตรปิฎก

http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=50116





*************************************


4. ทอดกฐิน ครั้งเดียว 10 กอง......ได้อานิสงส์คูณ10 ตอบโดย หลวงพี่เล็ก




************************************

5. หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ - เทศน์เกี่ยวกับกฐิน

ลองฟังดูดีมากเลย เรื่องการทำบุญและอานิสงส์ทอดกฐิน มีการยกพระสูตรและอื่นๆที่เรายังไม่ทราบ
เช่น ที่หลายคนสงสัย ทำบุญกฐิน มากบ้าง น้อยบ้าง จะมีอานิสงส์เหมือนกันไหม จะมีทรัพย์สินจะต่างกันไหม ลองไปฟังดู...และเรื่องบุญกฐินแรงให้ผลชาตินี้


- เทศน์งานกฐิน.mp3 (1.83 MB)
- ปกินกะเทปงานกฐิน.mp3 (1.33 MB)

http://www.palungjit.com/buddhism/au...read.php?t=106

-------------------------------



ตอบคำถามโดยหลวงพี่เล็ก
ฝากเพื่อนโอนเงิน ทอดกฐิน 10 วัด กำหนดจิต 10 ครั้ง..ได้อานิสงส์ ทอดกฐินจำนวณกีครั้ง ?
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=50249

--------------------


มีเงิน 1,000 บาท ต้องการทอดกฐิน 10 วัด
คิดในใจแบ่งเงิน เพื่อทอดวัดละ 100 บาท ได้ 10 วัด

กำหนดจิตตัวเอง 10 ครั้ง...ว่าจะทอดกฐินวัดนี้ 100 บาท
กำหนดจิตไปจนถึง 10 วัด
รวมเป็นกำหนดจิตทอดกฐิน 10 ครั้ง

แต่ว่า ตัวเองอยู่ต่างประเทศหรืออยู่คนละจังหวัด ไปร่วมงานทอดกฐินจริงๆไม่ได้

แล้วฝากเงิน ไปให้เพื่อน 1,000 บาท
แล้วบอกเพื่อนว่า ช่วยโอนเงินนี้ เพื่อทอดกฐิน 10 วัดให้หน่อย
โอนเข้าบัญชีกฐินวัด เพื่อนก็โอนให้

คำถามคือ

1.) นับว่าคนนั้น ได้อานิสงส์ การทำบุญทอดกฐิน จำนวณกี่ครั้ง ? 1 ครั้ง หรือว่า 10 ครั้ง ?

-------------



หลวงพี่เล็กตอบมาว่า ถือว่าเป็นการทอดกฐินครั้งเดียวแต่ได้อานิสงส์คูณ 10 ไม่ถือว่าเป็นการทอดกฐิน 10 ครั้ง

ท่านฝากมาบอกว่า จะเร่งรีบไปไหน ให้ทำบุญไปเรื่อยๆ

การต่อสู้กามกิเลส

การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทาง ความพอใจ ก็คือ กิเลส ความไม่พอใจ ก็คือ กามกิเลส กาม กิเลสนี้อุปมาเหมือนแม่น้ำ ธารน้ำน้อยใหญ่ ไม่มีประมาณ ไหลลงสู่ทะเล ไม่มีที่เต็ม ฉันใดก็ดี กามตัณหา ที่ไม่พอดี ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นแหล่งก่อทุกข์ ก่อความเดือดร้อน ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมด อยู่ที่ใจ สุขก็อยู่ที่ใจ ทุกข์ก็ อยู่ที่ใจ ใจนี่แหละ คือ ตัวเหตุ ทำความพอใจ ให้อยู่ที่ใจนี่


กามตัณหา เปรียบเหมือนแม่น้ำ ไหลไปสู่ทะเล ไม่รู้จักเต็มสักที อันนี้ฉันใด ความอยากของตัณหา มันไม่พอ ต้องทำความ พอ จึงจะได้ เราจะต้องทำใจให้ผ่องใส ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในทาน ตั้งอยู่ในธรรม ตั้งอยู่ในสมาธิก็ดีทุกอย่าง เราทำความพอ ดี ความพอใจ นำออกเสีย ความไม่พอใจ ก็นำออกเสีย เวลานี้เราจะพักจิตทำกายของเรา ทำใจของเราให้รู้แจ้ง ในกายใน ใจของเรา รู้ความเป็นมา วางให้หมด วางอารมณ์ วางอดีตอนาคต ทั้งปวงที่ใจนี่แหละ

คัดมาจาก หนังสือรวมคำสอนจากพระป่า

วิธีดับทุกข์เพราะพ่อแม่

พ่อ-แม่ จัดว่าเป็น "ปูชนียบุคคล" ของลูกทุกคน พระพุทธเจ้าทรงเทียบฐานะของพ่อแม่ เท่ากับเป็น พระของลูก แม้บวชอยู่ถึงจะบณฑบาตมาเลี้ยง ก็ยังไม่มีโทษ แถมยังได้รับการยกย่องสรรเสริญ จากพระพุทธองค์อีกด้วย

ด้วยเหตุที่พ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณมากล้นเช่นนี้ ผู้ที่ปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างถูกต้อง จึงมีแต่ "สิริมงคล" เป็นที่ยกย่องสรรเสริญของคนดีโดยทั่วไปในทางตรงกันข้าม

ถ้าปฏิบัติกับพ่อแม่ไม่ถูกต้อง ก็ย่อมจะเกิด "อัปมงคล" หาความเจริญทางจิตใจมิได้ และจะได้รับกรรมอันนี้สนองในชาตินี้เป็นส่วนมาก กล่าวคือ ลูกของเรา ก็จะทำต่อเราเช่นนี้เหมือนกัน

ดังนั้นในฐานะลูกที่ดี จึงควรมีความกตัญญูและกตเวทีต่อพ่อแม่ของตน สนองคุณด้วยการเลี้ยงดูตามธรรม อย่าให้ท่านได้รับความทุกข์ทั้งกายและใจ และผลแห่งกุศลกรรมนี้ ก็ย่อมจะสนองเราทันตาเห็นเช่นเดียวกัน ทั้งรูปธรรมและนามธรรม คือลูกหลานก็จะเลี้ยงดูปฏิบัติต่อเราอย่างนั้น

เรื่องวิธีดับทุกข์ เพราะพ่อแม่เป็นเหตุนี้ อาตมภาพหมายเอาเฉพาะพ่อแม่ที่ขาดศีลและธรรมเป็นมิจฉาทิฐิ ตกเป็นทาสของสุราการพนัน นารี หรืออบายมุขประเภทต่างๆ เป็นต้น อันผลพวงที่ลูกๆ พลอยเดือดร้อนไปด้วย ลูกๆที่ตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ต้องทำใจ ให้ถูกต้องและปฎิบัติตนให้สมกับเป็นลูกที่ดี อย่าได้เอา "น้ำเน่าไปล้างน้ำเน่า"เป็นอันขาด มิฉะนั้นจะได้ชือ่ว่าเป็น "ลูกอกตัญญู" หรือ "ลูกเนรคุณ" ไปจะมีแต่เสนียดจัญไร เมื่อตายไปก็เกิดในนรกแน่นอน

หลักความจริงมีอยู่ว่า "ในชาตินี้เราไม่อาจจะเลือกเกิดเป็นลูกของคนนั้นคนนี้ได้" เพราะมันได้เกิดมาเสียแล้ว เเต่เราก็สามารถเลือกเกิดในอนาคนได้ ด้วยการสร้างเหตุขึ้นมาใหม่

การที่ทุกคนได้เกิดมาแล้ว เป็นผลจากกรมเก่าที่เราได้ทำเอาไว้เองส่งผลให้เรามาเกิดในฐานะเช่นนี้ เราควรยินดี และพอใจพ่อแม่ของตน แม้จะอยู่ในภาวะใด ก็ตาม (ความไม่พอใจเป็นทุกข์ ความพอใจเป็นสุข)

ถ้าเราไม่ยินดี ไม่พอใจพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดเรา ซึ่งเราก็ไม่อาจจะเลือกได้ การไม่ยินดีไม่พอใจนั้น จึงเป็นความทุกข์ประการหนึ่ง

นอกจากนั้น การคิดนึกเช่นนี้ ย่อมจะเป็น "เชื้อ" ให้เกิด "อกตัญญู" และเมื่ออกตัญญู อกตเวที และ "เนรคุณ" ก็อาจจะตามมาอีกด้วย จึงควรรีบจำกัดกำจัดความคิดเช่นนี้เสียโดยเร็ว

แม้ว่าพ่แม่ จะเป็นคนแสนเลวประการใด โหดร้ายเพียงใด ก็จะต้องถือว่าเป็น "บุคคลต้องห้าม" สำหรับลูก ที่จะเข้าไปแตะต้องด้วยอกุศลจิต ด้วยทางกาย ทางวาจา หรือทางจิตใจ มิได้เลย

พ่อแม่เปรียบประดุจพระอรหันต์ของลูก เพราะรักลูกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ลูกที่มีสัมมาทิฐิ ต้องให้ความเคารพนับถือ เชื่อฟัง และตอบแทนคุณ ถ้าไม่ปฏิบัติก็จะเกิดมลทิน คือความเศร้าหมองไปชั่วชีวิต

การที่พ่อแม่ทำผิดทำชั่ว อันเป็นผลพวงที่ตกมาถึงเรา ก็เป็นเพราะอกุศลกรรมของเราดลจิตใจให้ท่านทำเช่นั้น เราอย่าได้เอาความชั่วไปตอบแทนพระคณที่ท่านให้กำเนิดแก่เรา ให้ใช้ความอดทน อดกลั้นเต็มที่

การที่เราได้มาเกิดเป็นลูกของท่านก็เป็นผลแห่งบาปกรรมที่เราทำเอาไว้เองให้ เป็นไป ถ้าเราไม่ต้องการจะมาเกิดเช่นนี้อีก ก็ควรเร่งทำความดีให้มากขึ้น (ยังทำดีน้อยไป) ในชาติต่อไป เราก็ยอ่มพ้นจากสภาพเช่นนี้ได้

มีโยมคนหนึ่งมาหาแล้วถามว่ามีพ่อขี้เหล้ามักด่าและตบตีเป็นประจำ ส่วนแม่ก็เอาแต่เล่นไพ่ เล่นได้ก็หน้าบานใจดี วันไหนเล่นเสีย ก็พาลด่าจนเข้าหน้าไม่ติด เขาได้แนะนำให้พ่อเลิกเหล้า ให้แม่เลิกเล่นไพ่ ก็ถูกด่าเปิง แถมจะลงมือลงไม้เอาด้วย หาว่าอวดดีมาสอนพ่อแม่มึงเป็นลูกอย่าเสือกมาสอนกู กูไม่ดีก็เลี้ยงมึงมาไม่ได้ ขอให้อาจารย์ช่วยแนะนำด้วย จะทำอย่างไร ดี พ่อแม่จึงจะเลิกอบายมุขได้ ? ได้ให้คำแนะนำเขาไปว่า...

การที่จะแนะพ่อแม่ได้ พ่อแม่นั้นจะต้องมีความนับถือ หรือเกรงใจลูกอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไป การสอนพ่อแม่เป็นเรื่องทำได้ยาก ทั้งนี้เพราะเหตุหลายประการ เช่น...

พ่อแม่มีสำนึกอยู่ว่า "กูเป็นพ่อ กูเป็นแม่ กูอาบน้ำร้อนมาก่อน มีหน้าที่ต้องสอนลูก เลี้ยงดูลูก ลูกมีหน้าที่เชื่อฟังและทำตามอย่างเดียว จะมาสอนพ่อแม่ไม่ได้ ถึงแม้พ่อแม่จะทำผิดทำชั่วก็ตาม"

คำแนะนำของลูกที่ถูกต้อง จึงไม่มีน้ำหนักที่จะเรียกร้องให้ยอมรับฟัง หรือทำตามได้ ยกเว้นแต่พ่อแม่ที่เป็นสัมมาทิฐิ แต่ได้หลงผิดไปชั่วคราวอาจยอมรับและกลับจิตกลับใจได้ง่าย

ถ้าเป็นเช่นนี้ ทางปฏิบัติก็มีอยู่สองประการ คือ
1.วางอุเบกขาปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของท่านเอง
2.หาผู้ที่พ่อแม่เคารพนับถือ ช่วยแนะนำตักเตือนให้ อาจจะเลิกได้ถ้าท่านเชื่อผู้นั้น ขอแต่ว่าให้เราพยายามทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ถ้าท่านไม่รีบตายจากเราไปเสียก่อน หมดเวรหมดกรรมเมื่อไร ท่านก็ต้องเลิกไปเองแหละ

ทางแก้ทุกข์นี้ก็คือ

1. ศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมให้เห็นความจริงว่าที่เราเกิดกับพ่อแม่ที่ไม่ดีนั้น เป็นผลของอกุศลกรรของเราเอง ถ้าไม่อยากมาเกิดกับพ่อแม่เช่นนี้ ก็ต้องเร่งทำความดีให้มาก ชาติหน้าก็จะไม่มาพบพ่อแม่เช่นนี้อีก

2. ต้องปฏิบัติหน้าที่ ระหว่างลูกกับพ่อแม่ให้ถูกต้อง คือมีความกตัญญูและกตเวที พยายามให้พ่แม่มีศีลธรรมให้ได้ อย่าได้เอาความชั่วไปต่อความชั่ว มิฉะนั้นในชาติหน้าเราจะต้องไปเกิดเช่นนี้และชดใช้บาปกรรมร่วมกันอีก ไม่มีที่สิ้นสุด

3. การทำให้พ่อแม่ทุกข์กายและใจ บ่นด่าทุบตีหรือฆ่าเป็นการปิดทางสวรรค์ และนิพพานของลูก พร้อมกันนั้นก็เปิดทางแห่งอบาย คือไปเกิดในภพภูมิไม่ดี มีความทุกข์ เช่นเกิดในนรก เดียรัจฉาน เปรต อสุกาย

4. การที่เราอยู่กับพ่อแม่ที่ขี้บ่นหรือด่านั้น ถ้าเจาะให้ลึกถึง "ก้นบึ้งของหัวใจ" ก็จะพบความจริงว่า เกิดจากความ "หวังดี" คืออยากให้ลูกดี

ถ้าท่านไม่รักเราจริง ท่านจะบ่นด่าทำไม? ให้มันเมื่อยปาก? ปล่อยให้เรา "ขึ้นช้าง-ลงม้า" คอหัก พรอันประเสริฐทีลูกควรรับฟังและพิจารณาด้วยใจเป็นกลางคือคำด่า และควรปฏิบัติดังนี้
4.1 ถ้าท่านด่าหรือบ่น โดยเราไม่ผิดหรือไม่จริงก็อย่าได้สวนขึ้นในขณะนั้น รอให้ท่านอารมณ์ดีก่อน แล้วค่อยชี้แจงเหตุผลให้ฟังภายหลัง
4.2 ถ้าท่านด่าหรือบ่น โดยเราเป็นฝ่ายผิดก็ต้องรีบแก้ไขปรับปรุงตนอย่าได้ทำเช่นนั้นอีก ท่านก็จะเลิกบ่นไปเอง
4.3 ถ้าท่านบ่นหรือด่า โดยหาสาระมิได้ ก็ควรสงบใจ วางอุเบกขาเสียมันเป็นการระบายอารมณ์ ของคนที่มีภาระมากและวางไม่ลง ได้บ่นหรือด่าใครนิดหน่อย อารมณ์ก็จะดีขึ้นเอง เป็นธรรมดาของคนที่ห่างวัด ขาดธรรมะ จะต้องเป็น "เช่นนั้นเอง" ให้หันมาทำใจ คิดว่าช่วยให้ท่านสบายใจเถิด

5. คำบ่นหรือด่าพ่อแม่ ไม่มีพิษภัยเท่ากับคำเยินยอของหนุ่มสาว ถ้าเราทนได้ ปล่อยวางอุเบกขาได้ก็เป็นการบำเพ็ญ "ขันติบารมี" ไปในตัว ควรฝึกหัดทำให้ได้ (ให้นึกว่าคำด่าของพ่อแม่เหมือนเป็นการให้พร)

จากหนังสือ วิธีตอบแทนพระคุณพ่อแม่
รวบรวมโดย พระมหาทองมั่น สุทธจิตโต
"ทองคำแท้หรือไม่? เมื่อโดนไฟก็รู้ คนดีแท้หรือไม่? ให้ดูตรงที่เลี้ยงดูพ่อแม่ ถ้าดีจริงต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยงดูแสดงว่าไม่ดีจริง เป็นพวกทองชุบ ทองปลอม ทองเก๊"

Reference: ขอบคุณเวปไซด์เก้าเก้าดอทคอม __________________
การรักสันโดษ คือ ทางแห่งนิพพาน

การรักษาศีลข้อวิกาละโภชนา สำหรับฆราวาสครับ นำมาให้อ่านกัน



ถาม:
วิกาละโภชนา พระกับฆราวาสต่างกันไหม ?

ตอบ : ถ้าฆราวาส หลวงพ่อท่านบอกว่าส่วนใหญ่แล้วทำงานมันเลิกเที่ยง ท่านบอกว่าให้กำหนดไว้ว่าไม่เกินบ่าย ๒ โมง แต่ว่าของพระนี่...ถ้าเที่ยงตรงเป๊งก็ต้องเลิกเลย เพราะ โลกมันนิยมอย่างนั้น ความจริงวิกาลแปลว่ากลางคืน ศีลพระมีอยู่ ๒ ข้อ ที่กล่าวชัดๆ ถึงเวลาวิกาล ก็คือรับประทานอาหารในเวลาวิกาลอย่างหนึ่ง และเข้าบ้านในเวลาวิกาลโดยไม่ได้บอกลาอย่างหนึ่ง

 แต่คราวนี้ของเรา เวลาวิกาลที่ไม่ได้บอกลาจะเข้าไปในบ้าน เขาตีว่าพระอาทิตย์ตกดินแล้ว แต่ว่าเวลาวิกาลที่ฉันอาหาร เขาตีว่าหลังเที่ยงไปแล้ว มันลักลั่นกัน แต่พม่ามันตีราคาเดียวกัน เพราะฉะนั้น พระพม่าฉันมื้อเย็นกันเพลิดเพลินเจริญใจไปเลย ถือว่าวิกาลเหมือนกัน แต่จริงๆ เราต้องมาดูตรงจุดที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านปรารถนาให้เรารู้จักโภชเนมัตตัญญุตา คือ ประมาณในการกิน การรู้จักประมาณในการฉันแต่พอควรแก่ธาตุขันธ์ตัวเอง มันก็ไม่ทำให้กิเลสกำเริบ มันทำให้ร่างกายโปร่งเบา มันทำให้ภาวนาได้ง่าย มันทำให้ไม่ต้องมีห่วงมีกังวลในการเตรียมอาหารมื้อต่อไป ดังนั้นแม้ว่าฆราวาสเราจะว่ากันจนถึงบ่าย ๒ โมง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เรากินตั้งแต่เช้ายันบ่าย ๒ โมง มันต้องรู้จักประมาณบ้าง

 สมัยก่อนมีโยมอยู่คนหนึ่ง ชุดนี้ทำงานเก่ง เวลาไปวัดท่าซุง คุณจะเห็นชุดขาวพรึ่บไปทั้งชุด ๓๐ – ๔๐ คนเลย มีอยู่รายหนึ่งถือศีลแปด อธิษฐานว่าจะกินถึงบ่าย ๒ โมง ปรากฎว่ากินวันหนึ่ง ๑๐ กว่ามื้อ ตกลงว่าให้กิน ๓ มื้อเท่าเดิมดีกว่า เปลืองน้อยกว่าเยอะเลย ต้องรู้จักประมาณในการกิน ไม่ใช่ว่าตะบันไป ให้มันเป็นมื้อเป็นคราว

ถาม: ไอศกรีม ?

ตอบ : ไอศกรีม จริงๆ ถ้าหากว่าเป็นพระ ไม่มีพวกถั่ว ลอดช่อง สาคู มันเป็นแค่นมเนยมันได้ แต่หลวงพ่อท่านเคยขอไว้ ท่านบอกว่าถ้าไม่ถึงกับจะตายห่าจริงๆ อย่าไปแดกมันเลยลูก มันน่าเกลียด คือ เห็นพระนั่งกินไอติมอยู่ มันงามไหมล่ะ ? โดยเฉพาะตอนเย็นๆ แต่ว่าศีลของพระเป็นอย่างนั้น คราวนี้ของโยมเขาไม่ได้ห้ามเอาไว้ชัด ถ้าเรารู้ชัดว่ามันไม่ใช่อาหารก็ว่าไป แต่ไม่ใช่กินไป ๓ ถ้วย ๕ ถ้วย เอามันแค่พอระงับการกระวนกระวายของร่างกายที่จะเกิดจากความหิว

ถาม: น้ำเต้าหู้ ?

ตอบ : น้ำเต้าหู้ ถ้าพระไม่ได้จ้ะ แต่โยมได้ เพราะว่าของพระเขาระบุไว้ชัดเลยว่าอันไหนเป็นอาหาร อันไหนเป็นเภสัช ส่วนที่เป็นอาหารเขาระบุไว้ชัดเลย สาลี วีหี ตัณฑุลา สาลีคือข้าว วีหีคือถั่ว ตัณฑุลาคืองา น้ำเต้าหู้นี่มันมาจากถั่ว ถึงทำเป็นน้ำแล้วเขายังถือว่าเป็นอาหารอยู่ เพราะฉะนั้นพวกน้ำเต้าหู้ น้ำถั่วเหลือง แลคตาซอย ไวตามิลค์ ถวายพระไป ถ้าท่านไม่รู้ท่านฉันไปก็เป็นโทษเหมือนกัน

 แต่มาตอนหลังมันถวายกันจนกระทั่งพระไปไม่เป็นแล้ว คือไม่ว่ากี่มื้อถวายแต่อย่างนั้น แล้วเขาถามว่ายังไง ? บอกคุณก็ฉันไป ๑ แก้วก็พอ ไม่ใช่ฟาดไป ๓ ขวด ๕ ขวด มันต้องรู้จักประมาณ ในเมื่อโยมเขาถวายมา ถ้าเราไม่ฉัน เขาก็เกิดน้อยใจ เสียใจ กำลังใจเขาตก คุณก็ฉันให้เขาดูสักแก้ว ครึ่งแก้ว แล้วเราก็ไปปลงอาบัติของเรา เพราะเรารู้ว่าไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่เจตนาเราจะฉันเอาอิ่มเอาสนุกจะกินให้อ้วนพี จะกินให้ยั่วกิเลสมันเกิดขึ้น แต่ว่าการฉันโดยบังคับด้วยสถานการณ์เพราะต้องการรักษาศรัทธาญาติโยม แต่ถ้าเป็นอาตมารับมา ก็ส่งต่อไปเลย อาตมาไม่ค่อยรักษาศรัทธาหรอก มันมาเยอะ เราเหนื่อย

ถาม: ไอศกรีมไม่ต้องเคี้ยว

ตอบ : จริงๆ มันเป็นส่วนของนมเนย พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ถ้านมเป็นเนยเฉยๆ ไม่เป็นไร แต่ก็อย่างว่าน่ะ ที่หลวงพ่อท่านว่ามันน่าเกลียด ถ้าเป็นโยมกินไปเถอะ เพราะเขาไม่รู้หรอกว่าเรารักษาศีลแปดหรือเปล่า ยกเว้นเราโกนหัวนุ่งขาวห่มขาว

ถาม: ไอศกรีมกะทิก็ห้ามด้วย

ตอบ : ก็ดูสิว่ามันจะไม่มีของอื่นที่เป็นอาหารอยู่ ถ้าหากว่ามีพวกผลไม้มีลอดช่อง มีถั่ว ก็ฉันไม่ได้อยู่แล้ว จริงๆ กะทิเป็นน้ำมัน ที่เขาห้าม คือ ห้ามน้ำพวกที่เป็นมหาผล ที่เขาห้ามเพราะว่าน้ำมันมีฮอร์โมนมาก เป็นพระต้องการความสงบ กินไอ้ที่มีฮอร์โมนเยอะๆ เข้าไป มันหาที่ไปไม่เป็นหรอก

ถาม: น้ำผลไม้ก็ไม่ได้ ?

ตอบ : น้ำผลไม้เขาห้ามไอ้ที่ใหญ่กว่ากำปั้น ส่วนใหญ่พวกสับปะรด แตงโม ส้มโอ มะพร้าวอ่อน ฮอร์โมนเยอะมาก ฉันเข้าไปจะไม่สุขสงบ แรกๆ ท่านอนุญาตไว้ ๘ อย่าง เรียกว่า อัฏฐบานคือ อัฏฐปานะ น้ำ ๘ อย่าง มาตอนหลังท่านบัญญัติเพิ่มเติมว่า ถ้าเป็นผลไม้แล้วโตไม่เกินลูกมะตูม คือกะว่าประมาณกำปั้นนี่ ถ้าไม่โตเกินนั้นก็อนุญาตให้ ถ้าโตเกินนั้นไม่อนุญาต



สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมกราคม ๒๕๔๗(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



จากเวบ พลังจิต
.
__________________
สร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก 10 วา
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=657

กรรม...ของการเกิด เป็นพ่อแม่และลูกกัน

กรรม...ของการเกิด เป็นพ่อแม่และลูกกัน
ในพระสูตรกล่าวว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้ยังไม่เคยเป็นพ่อ เป็นแม่
ไม่เคยเป็นญาติกันเลยไม่มี...ต้องเกี่ยวข้องและโยงใย
กันมาตั้งแต่อดีตชาติสลับกันไป...บางครั้งแม่เกิดเป็นลูก..
บางครั้งลูกเกิดเป็นแม่อย่างนี้เรื่อยไป...
และไม่จำเป็นต้องเกิดเป็นลูกคนนี้ หรือเกิดเป็นแม่คนนี้เสมอไป...

อาจเปลี่ยนและสลับกันไปได้ อย่างเช่นพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัต...
ชาติหนึ่งก็เคยเกิดเป็นพ่อลูกกัน โดยในชาติหนึ่งพระเทวทัต...
เกิดเป็นกษัตริย์ พระพุทธเจ้าเกิดเป็นธรรมปาลกุมาร...โอรสของท่าน
แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่า คู่นี้เกิดมาในชาติไหน...
มักจะเป็นคู่เวรล้างผลาญกันทุกชาติ....

แต่พระพุทธเจ้าจะเป็นผู้ถูกกระทำทุกชาติ....
ในชาดกนี้มีเรื่องนิดเดียวว่า....
พระเจ้าแผ่นดินมีพระมเหสียังสาวอยู่...
วันหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินทรงคิดถึงพระมเหสีอยากทรงร่วมภิรมย์ด้วย
ก็เสด็จเข้าไปหาถึงห้องบรรทม...

ฝ่ายพระมเหสีทรงมีพระโอรสเล็กๆอยู่ อายุ 7 เดือนหรือ1ปีก็ไม่แน่ใจ
ขณะที่พระราชาเสด็จเข้ามา...พระนางก็ไม่ได้สนใจ...
มัวหยอกล้อพระโอรสเพลินอยู่...พระราชาไม่พอพระทัยมาก..
คิดว่าพระมเหสีเอาใจพระโอรสมากกว่าพระองค์...
จึงมีรับสั่งให้นำพระโอรสไปประหารเสีย....

หากเราพิจารณาจะเห็นว่า...เด็กไม่มีความผิดอะไรเลย..
ยังไร้เดียงสานอนแบเบาะอยู่เลย...จะไปทำกรรมอะไรได้..
แต่เรื่องนี้มันมีการจองเวรกันมาตั้งแต่อดีตชาติ...
คือ ทั้งคู่ฆ่ากันมาเรื่อยๆ
แต่ว่ามันแปลกตรงที่พระเทวทัตฆ่าฝ่ายเดียว...

พระพุทธเจ้าไม่เคยฆ่าเลย...และการฆ่ากันในชาตินี้...
ของพระราชาก็ฆ่าได้ทารุณมาก....
มีรับสั่งให้นำพระโอรสไปตัดที่แขน ตัดทีละส่วน...
แม้พระมเหสีจะกราบทูลขอร้องอย่างไร ก็ไม่เป็นผล...
และเมื่อตัดอวัยวะหมดสิ้นแล้ว สุดท้ายให้ตั้งหลาวขึ้น...

แล้วโยนพระโอรสขึ้นไปข้างบนให้หลาวเสียบ....
ดูแล้วโหดร้ายทารุณมากไม่น่าเป็นไปได้...
แต่คนมีเวรแก่กันนั้นสามารถทำได้...ในท้ายที่สุด...
ในชาตินั้นแหละ...พระเทวทัตก็ถูกแผ่นดินสูบ...
แล้วพระมเหสีก็หัวใจสลายสิ้นพระชนม์...เพราะสงสารลูก...

~~บทความตอนหนึ่งจากหนังสือ...'คนไม่พ้นกรรม' ~~
เรียบเรียงโดย....ธรรมรักษา...
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์



ที่มา กรรม..ของการเกิด เป็นพ่อแม่และลูกกัน : ศาลาธรรม

7/26/2009

กรรมบถ ๑๐ และ อานิสงส์

กรรมบถ ๑๐

๑. ไม่ฆ่าสัตว์หรือไม่ทรมานสัตว์ให้ได้รับความลำบาก

๒. ไม่ลักทรัพย์ คือไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่เขาไม่ให้ด้วยความเต็มใจ

๓. ไม่ทำชู้ในบุตรภรรยาและสามีของผู้อื่น

๔. ไม่พูดวาจาที่ไม่ตรงความเป็นจริง

๕. ไม่พูดวาจาหยาบคายให้สะเทือนใจผู้ฟัง

๖. ไม่พูดส่อเสียดยุให้รำตำให้รั่ว ทำให้ผู้อื่นแตกร้าวกัน

๗. ไม่พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล

๘. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของเขาไม่ยกให้

๙. ไม่คิดประทุษร้ายใคร คือไม่จองล้างจองผลาญเพื่อทำร้ายใคร

๑๐. เชื่อพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านด้วยดี

อานิสงส์กรรมบถ ๑๐

ท่านที่ปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ ท่านเรียกชื่อเป็นกรรมฐานกองหนึ่งเหมือนกัน คือ ท่านเรียกว่า สีลานุสสติกรรมฐาน หมายความว่าเป็น ผู้ทรงสมาธิในศีล

ท่านที่ปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ ประการได้นั้น มีอานิสงส์ดังนี้

๑. อานิสงส์ข้อที่หนึ่ง จะเกิดเป็นคนมีรูปสวย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บรบกวน มีอายุยืนยาว ไม่อายุสั้นพลันตาย

๒. อานิสงส์ข้อที่สอง เกิดเป็นคนมีทรัพย์มาก ทรัพย์ไม่ถูกทำลายเพราะโจร ไฟไหม้ น้ำท่วม ลมพัด จะมีทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ขั้นมหาเศรษฐี

๓. อานิสงส์ข้อที่สาม เมื่อเกิดเป็นคนจะมีคนที่อยู่ในบังคับบัญชาเป็นคนดี ไม่ดื้อด้าน อยู่ภายในคำสั่งอย่างเคร่งครัด มีความสุขเพราะบริวาร และการไม่ดื่มสุราเมรัย เมื่อเกิดเป็นคนจะไม่มีโรคปวดศีรษะที่ร้ายแรง ไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่เป็นคนบ้าคลั่ง จะเป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด

เรื่องของวาจา

๔. อานิสงส์ข้อที่สี่, ข้อห้า, ข้อหก, และข้อเจ็ด เมื่อเกิดเป็นคนจะเป็นคนปากหอม หรือมีเสียงทิพย์ คนที่ได้ยินเสียงท่านพูดเขาจะไม่อิ่มไม่เบื่อในเสียงของท่าน ถ้าเรียกตามสมัยปัจจุบันจะเรียกว่าคนมีเสียงเป็นเสน่ห์ก็คงไม่ผิด จะมีความเป็นอยู่ที่เป็นสุขและทรัพย์สินมหาศาลเพราะเสียง

เรื่องของใจ

๕. อานิสงส์ข้อที่แปด, ข้อเก้า, และข้อสิบ เป็นเรื่องของใจ คืออารมณ์คิด ถ้าเว้นจากการคิดลักขโมยเป็นต้น ไม่คิดจองล้างจองผลาญใคร เชื่อพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามคำสอนของท่านด้วยความเคารพ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์จะเป็นคนมีอารมณ์สงบและมีความสุขสบายทางใจ ความเดือดเนื้อร้อนใจในกรณีใดๆ ทุกประการจะไม่มีเลย มีแต่ความสุขใจอย่างเดียว
อานิสงส์รวม

เมื่อกล่าวถึงอานิสงส์รวมแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานในขั้นนี้ ถึงแม้ว่าจะทรงสมาธิไม่ได้นานตามที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ นั้น ถ้าสามารถทรงกรรมบถ ๑๐ ประการได้ครบถ้วน ท่านกล่าวว่า เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป บาปที่ทำไว้ตั้งแต่สมัยใดก็ตาม ไม่มีโอกาสนำไปลงโทษในอบายภูมิมีนรกเป็นต้น อีกต่อไป

ถ้าบุญบารมีไม่มากกว่านี้ ตายจากคนไปเป็นเทวดาหรือพรหม เมื่อหมดบุญแล้วลงมาเกิดเป็นมนุษย์ จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้น แต่ถ้าเร่งรัดการบำเพ็ญเพียรดี รู้จักใช้ปัญญาอย่างมีเหตุผล ก็สามารถบรรลุมรรคผลเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาตินี้


แนะวิธีรักษากรรมบถ ๑๐
การที่จะทรงความดีเต็มระดับตามที่กล่าวมาให้ครบถ้วนให้ปฏิบัติตามนี้

๑. คิดถึงความตายไว้ในขณะที่สมควร คือไม่ใช่ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อตื่นขึ้นใหม่ๆ อารมณ์ใจยังเป็นสุข ก่อนที่จะเจริญภาวนาอย่างอื่น ให้คิดถึงความตายก่อน คิดว่าความตายอาจจะเข้ามาถึงเราในวันนี้ก็ได้ จะตายเมื่อไรก็ตามเราไม่ขอลงอบายภูมิ ที่เราจะไปคือ อย่างต่ำไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม ถ้าไม่เกินวิสัยแล้ว ขอไปนิพพานแห่งเดียว คิดว่าไปนิพพานเป็นที่พอใจที่สุดของเรา

๒. คิดต่อไปว่าเมื่อความตายจะเข้ามาถึงเราจะเป็นในเวลาใดก็ตาม เราขอยึดพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต คือไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า ยอมเคารพด้วยศรัทธา คือความเชื่อถือในพระองค์ ขอให้ปฏิบัติตามคำสอน คือกรรมบถ ๑๐ ประการโดยเคร่งครัด ถ้าความตายเข้ามาถึงเมื่อไรขอไปนิพพานแห่งเดียว

เมื่อนึกถึงความตายแล้วตั้งใจเคารพ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวก แล้วตั้งใจนึกถึงกรรมบถ ๑๐ ประการว่ามีอะไรบ้าง ตั้งใจจำและพยายามปฏิบัติตามอย่าให้พลั้งพลาด คิดติดตามข้อปฏิบัติเสมอว่ามีอะไรบ้าง ตั้งใจไว้เลยว่าวันนี้เราจะไม่ยอมละเมิดสิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งเป็นอันขาด เป็นธรรมดาอยู่เองการที่ระมัดระวังใหม่ๆ อาจจะมีการพลั้งพลาดพลั้งเผลอในระยะต้นๆ บ้างเป็นของธรรมดา แต่ถ้าตั้งใจระมัดระวังทุกๆ วัน ไม่นานนัก อย่างช้าไม่เกิน ๓ เดือน ก็สามารถรักษาได้ครบ มีอาการชินต่อการรักษาทุกสิกขาบท จะไม่มีการผิดพลาดโดยที่เจตนาเลย เมื่อใดท่านทรง
อารมณ์กรรมบถ ๑๐ ประการได้ โดยที่ไม่ต้องระวัง ก็ชื่อว่าท่านทรงสมาธิขั้น ขณิกสมาธิ ได้ครบถ้วน เมื่อตายท่านไปสวรรค์หรือพรหมโลกได้แน่นอน

ถ้าบารมีอ่อน เกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียวไปนิพพานแน่ ถ้าขยันหมั่นเพียรใช้ปัญญาแบบเบาๆ ไม่เร่งรัดเกินไป รักษาอารมณ์ใจให้เป็นสุข ไม่เมาในร่างกายเราและร่างกายเขา ไม่ช้าก็บรรลุพระนิพพานได้แน่นอน เป็นอันว่าการปฏิบัติขั้นขณิกสมาธิจบเพียงเท่านี้


คัดจากหนังสือ "วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ" หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

พระศรีอาริยเมตไตรยปรารถนาพระโพธิญาณจึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต(หลวงพ่อฤาษีฯ)

“..พระศรีอาริยเมตไตรย ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุเดิมทีท่านเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมี ต่อมาเมื่อ พระนางกีสา โคตมีได้ ทอจีวรด้วยมือของตนเองปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งให้พระโมคคัลลาน์ ท่านพระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆ กันไปหมดจนถึงองค์สุดท้ายคือท่านอชิตะภิกขุ ท่านไม่รู้จะส่งให้ใครเพราะนั่งอยู่ท้ายสุด เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสา โคตมีก็เสียใจว่าอุตสาห์ทำเองเลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเองเพื่อถวายพระ พุทธเจ้า แต่พระองค์ไม่รับกลับไปให้กับพระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรดว่า พระองค์สุดท้ายไม่ใช่พระธรรมดา ท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีพระนามว่า สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย


ปัจจุบัน นี้ท่านมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต วิมานท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมีรัศมีกายสว่างมาก หน้าตาผ่องใสยิ้มระรื่นน่าชื่นใจ ท่านได้บอกกับอาตมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อีก ๑ ล้านกับ ๒ ปี ท่าน จะลงมาเกิดในเมืองมนุษย์แล้วเป็นปุโรหิต หลังจากนั้นเกิดความเบื่อหน่ายก็ออกแสวงหาพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าจะเทียบพื้นที่ในสมัยนี้ พระองค์จะตรัสทางทิศเหนือของพม่า แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้


ที่มา..


http://board.palungjit.com/f13/%E0%B...AF-171832.html

ปฏิบัติเพื่อให้ทันยุคพระศรีอาริยเมตไตรย โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

คำสอนของพระศรีอาริย์

จากหนังสือ ประวัติการสร้าง "พระศรีอาริยเมตไตรย" วัดท่าซุง


ถามว่า "แนะนำแล้วทุกอย่าง แต่ว่าไม่รู้ข้อเจาะจง ให้เจาะ จงไปว่าทำบุญอย่างไร...จึงจะทันศาสนาพระศรีอาริย์?"


(นี่..สำหรับคนมี "บารมีอ่อน" นะ คนมี "บารมีเข้ม" ให้ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าคน "บารมีอ่อน" ตั้งใจไปนิพพานชาติพระ ศรีอาริย์ หรือวางแผนไว้ ๒ อย่างก็ได้ว่า ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าพลาดชาตินี้ ขอให้ได้นิพพานสมัยพระศรีอาริย์ก็ได้)


ท่านบอกว่า "ให้ทุกคนที่ต้องการเกิดทันสมัยผม ให้รักษาศีล ๕ เป็นปกติ รักษา กรรมบถ ๑๐ เป็นปกติทุกวัน ไม่คลาดเคลื่อนอย่างนี้เป็นอุคฆฏิตัญญู ไปเกิดในสมัยผมฟังเทศน์แค่ หัวข้อเล็ก ๆ สั้น ๆ ก็บรรลุมรรคผลทันที


ถ้าบางท่านปฏิบัติอ่อนกว่านั้น รักษาได้ กรรมบถ ๑๐ เหมือนกัน ศีล๕ ก็ครบ แต่ว่าบางทีก็มีอาการเผลอเล็กน้อย อย่างนี้เป็นวิปจิตัญญู หมายความไปเกิดสมัยผมเทศน์หัวข้อฟังไม่เข้าใจ ต้องอธิบายเล็กน้อยจึงบรรลุอรหันต์



บางท่านที่มีบารมีอ่อนกว่านั้น วันธรรมดา ๆ อาจจะบก พร่องบ้างเป็นของธรรมดา แต่สำหรับวันพระต้องรักษาให้ครบ ถ้วนทั้ง ศีล ๕ และ กรรมบถ ๑๐ หมายความตามธรรมดา คน เรามีอาชีพต่างกัน บางคนปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ต้องฉีดยา ฆ่าเพลี้ยฆ่าสัตว์ที่มารบกวนพืชพันธุ์ธัญญาหารบ้าง บางคนมี อาชีพไปในทางการประมง ต้องทำการประมงฆ่าปลาฆ่าสัตว์บ้าง ถ้าอย่างนี้ถือว่าวันธรรมดาบกพร่องได้ และวันพระต้องครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างนี้ถ้าเกิดในสมัยผม เขาเรียกว่า เนยยะ เทศน์ครั้งเดียวสองครั้งยังไม่มีผล ต้องฟังเทศน์หลาย ๆ หน สามารถ เป็นพระอริยะได้


เอาละ... บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านทั้งหลายมานั่งอยู่กันที่ตรงนี้และฟังเทศน์แล้ว เรื่องของพระศรีอาริยเมตไตรย ถ้าจะว่ากันไปก็คงไม่แตกต่างกับเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าทุกท่านรักษาศีล ๕ ครบถ้วน กรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน ที่มีบารมีเข้มข้นสามารถจะไปนิพพานได้ในชาตินี้ ถ้าบังเอิญชาตินี้พลาดไปนิพพาน ไปเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี หรือพรหมก็ตาม อีกไม่นานนักพระศรีอาริย์ก็ตรัส เราก็ฟังเทศน์ จากพระศรีอาริย์ภายในไม่ช้าก็บรรลุอรหันต์สามารถไปนิพพานได้"



ที่มาhttp://www.tamroiphrabuddhabat.com/x...ad.php?tid=276

ชาดกเรื่องการผิดศีลข้อสาม

มานพหนุ่มช่างทอง

กาลต่อมาพระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นบุตรของช่างทองและเป็นมานพหนุ่มช่างทองมีรูปสิริเลิศงดงาม ในเมืองแห่งนั้นมีฝีมือในการทำทองนั้นยอดเยี่ยม ชื่อเสียงในการทำทองขจรไปไกล เพราะความมีฝีมือนี้เองได้มีเศรษฐีของเมืองมาทำการว่าจ้างให้ทำทองรูปพรรณให้บุตรสาวที่จะเข้างานวิวาห์มงคล เมื่อเห็นรูปร่างของหนุ่มช่างทองก็เกิดลังเลแต่ไม่สามารถหาช่างทองที่ฝีมือดีกว่านี้ได้อีกเลย จึงกล่าวกับหนุ่มช่างทองว่าถ้าท่านเห็นมือ และเท้าของบุตรสาวของเราอย่างเดียวท่านสามารถทำทองได้สวยสดงดงามหรือไม่? หนุ่มช่างทองก็บอกว่าทำได้ เหตุผลของท่านเศรษฐีทำแบบนี้เพราะบุตรสาวเป็นหญิงที่สวยสดงดงาม เมื่อเห็นหน้าตากันจะทำให้ทั้งสองเกิดหวั่นไหวมีปัญหาในการแต่งงานของลูกสาวกับบุตรชายของเพื่อนเศรษฐีที่มั้นหมายไว้แล้วเป็นการตัดไฟเสียต้นลม

เมื่อถึงวันที่หนุ่มช่างทองทำการตรวจวัดมือและเท้าของบุตรสาวเศรษฐี ที่บ้านของเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้ทำฉากกั่นให้บุตรสาวยืนเฉพาะมือและเท้าออกมาเท่านั้นแต่บุตรสาวเกิดความสงสัยว่าทำไม่บิดาจึงทำอย่างนี้ในขณะที่หนุ่มช่างทองกำลังตรวจวัดอยู่ บุตรสาวเศรษฐี ก็แอบดูตามช่องที่มองเห็นได้เมื่อเห็นรูปร่างหนุ่มช่างทองเกิดหลงรักทันที จึงทำการเขียนอักษรนัดแนะหนุ่มช่างทองทันที่ ว่าในค่ำคืนนี้นัดเจอกันที่ส่วนหลังบ้านที่เป็นต้นไม้ใหญ่ฝ่ายหนุ่มช่างทองเมื่อเสร็จภารกิจ ก็กลับไปยังเรือนของตน ทำงานทำทองตลอด

เมื่อตกค่ำก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปตามนัด ที่กาญจนวดีกุมารีบุตรสาวเศรษฐีได้เขียนอกษรไว้แต่มานพหนุ่มช่างทองมาถึงต้นไม้ใหญ่ก่อน นั่งรออยู่ เพราะทำงานมาทั้งวันเมื่อเจอบรรยากาศร่มรื่นจึงเผลอหลับไปเมื่อนางกาญจนวดีกุมารีมาถึงก็เห็นหนุ่มช่างทองหลับไปแล้วซึ่งในสมัยนั้นมีการถือกันว่า ถ้าผู้ใดนอนหลับอยู่ห้ามปลุกขึ้นมาเพราะจะเป็นบาปนางจึงนั่งรอเป็นเวลาพักใหญ่ เห็นว่าไม่ตื่น จึงว่าขันใส่ดอกไม้ไว้แล้วเขียนอักษรไว้ว่า นางได้มาแล้วแต่ท่านหลับอยู่ จึงว่างขันดอกไม้ไว้ให้ทราบและในราตรีต่อไปขอนัดเจอที่เดิม แล้วจากไป เมื่อหนุ่มช่างทองตื่นขึ้นมาเห็นขันดอกไม้จึงรู้ว่านางได้มาแล้วและได้อ่านข้อความที่นางเขียนไว้

ตกค่ำวันต่อมาหนุ่มช่างทองก็ออกไปตามนัดเหมือนเดิมก็ไปถึงต้นไม้ใหญ่ก่อนอีก ด้วยความอ่อนแรงจากการงานจึงเผลอหลับไปอีกนางกาญจนวดีกุมารีเมื่อมาถึงก็เห็นหลับเหมือนเดิม จึงเขียนอักษรนัดแนะเหมือนเดิมหนุ่มช่างทองเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบอักษรที่นัดแนะก็ให้นึกโกรธตนเองที่เผลอหลับมาสองวันแล้ว

พอตกค่ำวันที่ 3 ครั้งนี้หนุ่มช่างทองพยายามเตือนตนเองอย่างเต็มที่ไม่ให้เผลอหลับแต่ต้านไว้ไม่อยู่เลยเผลอหลับไปอีก เมือกาญจนวดีกุมารี มาเห็น ก็คิดว่าบุญไม่ต้องกันที่จะได้อยู่ร่วมกัน เพราะตนจะเข้างานวิวาห็นางจึงวางขันดอกไม้ไว้อย่างเดียว ให้รู้ว่านางได้มาตามนัดแล้วแต่ครั้งนี้ไม่ได้เขียนอักษนัดแนะประการใด เมื่อหนุ่มช่างทองตื่นขึ้นมาก็โกรธตนเองที่เผลอหลับจึงกลับบ้านด้วยความผิดหวังที่จะดูหน้าและรูปร่างเพียงสักครั้ง

แล้วนางกาญจนวดีกุมารี ก็เข้าวิวาห์กับบุตรชายเศษรฐี ตามกำหนดการฝ่ายหนุ่มช่างทองก็คล่ำครวญถึงนางกาญจนวดีว่าสมควรจะอยู่ร่วมภิรมณ์กับตนและควรเป็นของเรา เพราะหญิงก็มีใจกับตน จึงคิดหาอุบายได้ทำเครื่องทองที่ดีเลิศขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วนำไปถวาย มหาอุปราชมหาอุปราชทรงพอพระทัย จึงทรงถามหนุ่มช่างทองว่ามีประสงค์อันใดที่นำเครื่องทองอันดีเลิศมาถวาย หนุ่มช่างทองจึงบอกจุดประสงค์มหาอุปราชจึงรับปากและจะออกอุบายช่วยเหลือหลังจากนั้นก็ให้หนุ่มช่างทองแต่ตัวเป็นสตรี ปลอมเป็นน้องหญิงของมหาอุปราชแล้วทรงกระบวนช้างผ่านไปยังบ้านเศรษฐีแล้วตรัสบอกกับท่านเศษรฐีว่าจะเอาน้องหญิงมาฝาก ที่บ้านเศรษฐี เพราะออกไปปราบข้าศึกที่ชายแดนและห็นว่าท่านได้สร้างเรือนใหม่ ที่พอจะฝากน้องหญิงได้

แล้วมหาอุปราชถามอีกว่า "เรือนนั้นเป็นเรื่อนของใครของใครหรือ? "
เศรษฐีจึงตอบว่า "เป็นเรือนของบุตรสาวที่พึ่งแต่งงาน"

มหาอุปราชกล่าว "อย่างนั้นก็ดีสิ ! จะได้ให้น้องหญิงพักอยู่ที่นั้นและจะได้ให้บุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพื่อนของน้องหญิงให้นางงดการอยู่ร่วมกับสามีชั่วคราวห้ามผู้ชายแม้กระทั้งสามีของบุตรสาวท่านเข้าไปในส่วนของชั้นเรือนที่น้องหญิงพักอยู่โดยมีบุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพื่อน แล้วเราจะกลับมารับหนึ่งหญิงในภายหลัง"

เศรษฐีด้วยความเกรงในอำนาจของอุปราชและเห็นว่าท่านอุปราชทรงห่วงใยน้องหญิงคนนี้มากจึงรับทำตามที่มหาอุปราชกำชับด้วยความเต็มใจ

หลังจากนั้นหนุ่มช่างทองได้อยู่ร่วมกับนางกาญจนวดี เป็นเวลา 3 เดือนโดยไม่มีใครรู้เรื่องเลย จนมหาอุปราชมารับกลับไป

ด้วยผลกรรมที่พระโพธิสัตว์ผิดลูกผิดเมียของผู้อื่นเมื่อสิ้นอายุขัยของตกนรกทันที่เวียนเกิดตายระหว่างอบายภูมิ(ภพต่ำ)เป็นเวลานาน แล้วเกิดเป็นกระเทยและเป็นผู้หญิงเป็นพันชาติ รวมเวลา ถึง 14 มหากัป

เมื่อ ทำกรรมหนักเพียงชีวิตเดียวก็ตกลงในภพภูมิที่ต่ำจะทำ ให้สร้างบุญกุศลนั้นยาก เพราะใจจะตกต่ำไปด้วยย่อมกระทำกรรมเล็กๆ น้อยๆ ไปเรี่อยกว่าจะหลุดพ้นมาได้ก็ใช้เวลาหลายมหากัปนับประสาอะไรกับผู้ที่ไม่ ปรารถนาสร้างบารมี(อย่างใดอย่างหนึ่งในพุทธศาสนา)จะวนเวียนอยู่โดยไม่รู้ทิศ รู้ทางเป็นเวลานานนับแสนแสนอสงไขย จนประมาณไม่ได้