6/10/2010

เปิดจุดแข็ง-จุดอ่อนของคน 12 ราศี

เปิดจุด แข็ง-จุดอ่อน ของคน 12 ราศี

ราศีมังกร (22 ธันวาคม - 19 มกราคม)
จุดเด่น
1. อ่านคนเก่ง มี ลางสังหรณ์แม่นยำ
2. วางตัวดี ยากที่ใครอ่านออก
3. มีอารมณ์ขัน มีวาทศิลป์
4. มีความนอบน้อมถ่อมตน เคารพผู้อาวุโส
5. มีความซื่อตรงและ ยุติธรรม
6. รอบคอบ ละเอียดอ่อน
7. ใจบุญสุนทาน มีความรอบรู้ รักพ่อแม่พี่ น้องมาก
8. เข้มแข็งแกร่งกล้า แม้จะเป็นคนอ่อนไหวง่าย
จุดด้อย
1. เจ็บปวดง่าย ยากจะลืมเลือนหรือให้อภัยคนที่ทำร้ายตน
2. ชอบผูกมิตรกับคนแต่ไม่ชอบคบใครจริงจัง
3. ชอบแสดงความสดใสร่าเริง ทั้งที่ในใจรู้สึกโดดเดี่ยว
4. ทนไม่ได้กับการวิพากษ์วิจารณ์หรือการดูถูก
5. ยึดมั่นในหน้าที่ จนไม่มีเวลาใช้ชีวิตแบบที่ปรารถนา
6. ใช้จ่ายเงินเก่ง
7. เชื่อว่าตนเองถูก เสมอ

ราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์)
จุด เด่น
1. มีความเป็นเพื่อนให้ทุกคนอย่างไม่ เลือก
2. ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน มีจุดยืนที่มั่นคง
3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ไม่เคยดับมอด
4. เด็ดเดี่ยว ไม่ท้อแท้
5. กล้าได้กล้าเสีย แก้ปัญหาเก่ง ไม่ตื่น ตกใจง่าย
6. รู้จักกาลเทศะ
7. สร้างจุดสนใจได้ดีเสมอ สร้างความประทับ ใจให้กับทุกคน
8. สุขุมเยือกเย็น ไม่เคยทำอะไรสะเพร่า

จุดด้อย
1. ต่อต้าน กฎเกณฑ์อย่างจริงจัง จนบางครั้งก้าวร้าว
2. ไม่ลงให้ใครง่ายๆ
3. ไม่แสดง ความคิดเห็นของตน แต่เก็บเกี่ยวความคิดของผู้อื่น
4. ชอบเสี่ยง ทั้งที่ไม่มีความมั่นใจเลย
5. ไม่ทนกับคนที่ตนคิดว่าไร้สาระ
6. ไม่ชอบแสดงออกทางอารมณ์ แม้แต่จะทำสิ่งที่ดีๆให้กับคนที่ตนรัก
7. คาดหวังสูงกับความเป็นคนมีเสน่ห์และเป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง
8. ชอบคิด ชอบวางแผน แต่ไม่ชอบลงมือทำ


ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)
จุดเด่น
1. สามารถดึงเอาความเพ้อฝันมาใช้สร้าง สรรค์ได้
2. ปรับตัวได้ดี รู้จักรอมชอม แม้จะฝืนใจตนเองบ้าง
3. วางตัวดี รู้จักพูดจา เป็นผู้ฟังที่ดี
4. ยินดี ให้ความร่วมมือกับผู้อื่นแม้จะไม่เห็นชอบด้วยก็ตาม
5. ไม่เรียกร้องความโดดเด่น ไม่ยึดติดว่าตนต้องเป็นผู้นำ
6. มีความอดทน มีศักยภาพที่ไขว้คว้าความสำเร็จ
7. ฉลาดและรู้จักใช้โอกาส

จุดด้อย
1. อารมณ์เปราะบาง
2. สับสนและเครียดได้สูงเพียงเพราะอารมณ์อ่อนไหวของตน
3. ไม่กล้าทำในสิ่งที่ลึกๆ ปรารถนา
4. ชอบหลอกตัวเองไม่ยอมรับความจริง
5. พอ ใจที่จะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการมากกว่าโลก แห่งความจริง
6. ชอบหนี ปัญหาของตนเอง ทั้งที่สามารถให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาของผู้อื่นได้
7. ไม่ชอบงานหนักหรือภาวะที่ บังคับให้ต้องรับผิดชอบสูง
8. ขาดมุ่งมั่นเอาจริงเอา จังกับชีวิต


ราศีเมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน)
จุดเด่น
1. มีกำลังใจ เข้มแข็ง ไม่ท้อถอยง่ายๆ
2. มีน้ำใจไมตรีต่อคนรอบข้าง
3. รู้จัก สร้างความสดชื่นรื่นรมย์อยู่เสมอ
4. เป็นผู้นำที่ดี มีความยุติธรรมและซื่อตรงสูง
5. มี ความคิดริเริ่มรักอิสระ
6. วางจุดหมายของตัวเอง ไว้ทุกระยะ
7. สนใจใฝ่รู้ มุ่งไปที่ความสำเร็จมากกว่าเงิน
8. กล้าสู้ปัญหา ยอมรับความกดดันได้ดี

จุดด้อย
1. เชื่อแต่ ความคิดและมุมมองของตนเอง
2. หลงตนเองต้องการ เป็นหนึ่งเสมอ
3. อยากควบคุมความคิดคนอื่น เผด็จการพอตัว
4. บางครั้ง ก้าวร้าวและไม่ไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง
5. อ่านคนไม่เก่ง แต่ชอบแข่งขันและชอบเอาชนะ
6. กลัวคน ไม่ยอมรับ
7. เก็บเงินไม่เก่ง
8. ไม่ค่อยอดทนไม่ชอบอยู่กับความซ้ำซากเป็นเวลานาน


ราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)
จุดเด่น
1. มีความบากบั่นสูง ยากที่จะยอมแพ้หรือเปลี่ยนแปลงจุดยืนของตนเอง
2. เป็นคนมีจิตใจดี ให้เกียรติให้ความสำคัญแก่คนอื่นเสมอ
3. เป็นคนจริงใจ รักมั่นคง รักครอบครัวรักเพื่อนอย่างแท้จริง
4. สามารถเก็บความรู้สึกเกรี้ยวกราดไว้ได้ ยากที่จะแสดงออกว่าไม่พอใจใคร
5. สามารถจัดการชีวิตให้มีระเบียบวินัยอย่างพอเหมาะ
6. เป็นคนมีเหตุผล พูดจริง ทำจริง และ ไม่ไขว่คว้าในสิ่งที่เกินตัว
7. มักไตร่ตรองให้ รอบคอบอยู่เสมอ
8. เป็นคนสุภาพนอบน้อม ไม่ใจร้อนวู่วาม

จุดด้อย
1. คิดและทำอะไรช้า
2. อยากทำตามความคิดตนมากกว่าจะ เปลี่ยนแปลงเพราะฟังคนอื่น
3. โกธรได้ง่าย แต่หายยาก
4. ยอมทุ่มเทเงินทองให้กับสิ่งที่ชอบ
5. เจ้าระเบียบ ไม่ ชอบให้ใครยุ่งกับคนของตน
6. ไม่ชอบที่จะให้ เพื่อนพ้อง พี่น้องชื่นชมใครไปกว่าตน


ราศีเมถุน (21 พฤษภาคม - 20 มิถุนายน)
จุดเด่น
1. มีความสดใสร่าเริง และมีอารมณ์ขันเสมอ
2. ช่างคิด ช่างสังเกต
3. ฉลาด คิดเร็วตัดสินใจเร็ว และไม่ชอบ หยุดนิ่ง
4. ไหวพริบดี สามารถ แก้ปัญหาได้ด้วยต?เอง
5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีความสามารถในการวางแผน
6. รักการเรียนรู้ สนุกที่จะหาประสบการณ์ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง
7. สามารถให้ความช่วยเหลือ คำปรึกษา คำแนะนำแก่คนรอบข้างได้
8. เก็บความรู้สึกดี มักไม่แสดงความรู้สึกโกรธออกมา

จุดด้อย
1. ขาดความ มุ่งมั่นและไม่อดทน ไม่มีความหนักแน่น
2. ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตน
3. เป็นคนเบื่อง่าย ขาดความจริงจังทั้งที่เป็นคนมีความทะยาน
4. แม้จะเป็นคนคิดการณ์ไกล แต่ไม่ชอบที่จะทำ มักวางมือเสียง่ายๆ
5. กล้าคิด กล้า ทำแต่จริงๆ แล้วขาดความรอบครอบ
6. ไม่ตรงต่อเวลานัก ไม่ต้องการความรับผิดชอบสูง
7. ขาดพลังในการควบคุมตน

(21 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)
จุด เด่น
1. เป็นคนมีจิตใจดี ไม่เคยคิดเบียดเบียนทำร้ายใคร
2. สนใจ เรื่องแสวงหาความมั่นคงในชีวิตความสำเร็จและความก้าวหน้ามากกว่าปล่อยชีวิต ไปเรื่ื่อยๆ
3. รักบ้าน รักครอบครัว รักเพื่อน
4. มีความจำดี มีความรับผิดชอบสูง
5. ขยัน ขันแข็ง ไม่เหลวไหล
6. ยอมรับระบบระเบียบและ กฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง
7. ยืนหยัดตามลำพังได้ด้วยตัวของตัวเอง หากต้องเผชิญกับปัญหา
8. มีความละเมียดละไม ใฝ่หาความสุนทรีในชีวิต
จุดด้อย
1. อ่อนไหวเกิน ไป เจ็บปวดง่าย เจ้าอารมณ์
2. ขาดเหตุผลเข้มงวดกับคนใกล้ตัวเกินไป
3. ช่างหวาดระแวงและวิตกกังวลเกินควร
4. บางครั้งก้าวร้าวเพราะยึดมั่นในความ คิดของตนเกินไป
5. ควบคุมอารมณ์ไม่ได ้ทั้งที่ไม่คิดจะทำร้ายใครเลย
6. ไม่ มีความกล้าได้กล้าเสี่ยงเท่าใด
7. มักมองโลกใน แง่ร้ายและตัดสินใจเรื่องราวในแง่ลบเสมอ


ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม)
จุดเด่น
1. เป็น คนใจกว้างและมีน้ำใจ
2. ไม่ดึงตัวเองลงไปในความ เครียด รู้จักสร้างความรื่นรมย์ให้ตนเองและคนรอบข้าง
3. เป็นคนที่มีระเบียบในการใช้ชีวิต
4. มีความทะเยอทะยานมีเป้าหมายในชีวิตที่ ชัดเจน
5. มีความมั่นอกมั่นใจและเป็นตัว เองสูง
6. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล้าพูดกล้าทำ กล้าเสี่ยง
7. ไม่ หวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง
8. ไม่ยอมล้มเหลว หรือพ่ายแพ้

จุดด้อย
1. บางครั้งทรน งจนไม่ยอมขอโทษ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด
2. ชอบให้ทุกคนยกย่อง เอาอกเอาใจ ต้องการการยอมรับมากไป
3. ให้ ความสำคัญกับการเที่ยวเตร่มากกว่าการมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง
4. การเลือกคบคมมากเกินไปจนดู เหมือนดูถูกคนที่ต้อยต่ำกว่า
5. ชอบโอ้อวดและหน้าใหญ่ในบาง ครั้ง
6. วู่วามใจร้อนไร้เหตุผล
7. มักเห็นแก่ความต้องการของตนเป็นใหญ่ เสมอ
8. กล้าคิดกล้าตัดสินใจแต่ขาดความ รอบครอบ

ราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 22 กันยายน)
จุดเด่น
1. ซื่อสัตย์ ภักดี มีความตั้งใจจริงไม่เอาเปรียบใคร
2. มีความรับผิดชอบสูง ควา?ตั้งใจสูง
3. ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น รู้จัก ออมเงิน
4. เก่งกาจในการติดต่อสื่อสาร การคิด การวิเคราะห์และการเก็บราย ละเอียด
5. สามารถปรับตัวได้ไม่เบื่อหน่ายมี ความอดทนสูง
6. เก่งด้านการจัดการ มีมาตรฐานในชีวิต
7. มีความทะเยอ ทะยานมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน

จุดด้อย
1. ไม่ เชื่อถือและไม่วางใจใครเหมือนกับที่คนอื่นวางใจตน
2. เข้มงวด เจ้าระเบียบ จุกจิกจู้จี้
3. มีความบากบั่นสูง แต่บางครั้งก็ดันทุรังโดยไร้เหตุผล
4. ด้วยความสามารถในเชิงวิพากษ์ วิจารณ์ ทำให้บ่อยคร ั้งช่างตำหนิติเตียนผู้คน
5. มักมีลับลมคมนัยเก็บความรู้สึกและความคิดที่แท้จริงของตนไว้ไม่ แสดงออกมา
6. มักหวังสิ่งตอบแทนไม่ทางใดก็ ทางหนึ่ง
7. เป็นคนเอาใจยาก

ราศี ตุลย์ (23 กันยายน - 22 ตุลาคม)
จุดเด่น
1. มีมาตรฐานในการใช้ชีวิตของตนเอง รู้จักวางเป้าหมายและวางแผนอยุ่เสมอ
2. ดูแลชีวิตตนเองให้มีความสุขเสมอ
3. มี วาทศิลป์ มีคารมคมคาย รู้จักการเจรจาต่อรองได้ เยี่ยม
4. ไม่ทำตัวขวางโลก
5. มีความเป็นผู้นำ
6. อ่อนโยน แคร์ความรู้สึกของผู้อื่น
7. มนุษย์ พันธ์ดีเยี่ยม ค่อนข้างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตน เอง

จุดด้อย
1. การตัดสิน ใจไม่เด็ดขาดเพราะมักเกิดการโลเล ไม่มั่นใจในตนเอง
2. ปรารถนา ความเป็นหนึ่งมากจนเกินไป บางครั้งอาจผิดหวังและอิจฉาผู้อื่นได้
3. บางครั้งสุขุมเกินไปจนดูเหมือนเป็นคนเฉื่อยช้า
4. ยึดถือความถูกต้องเป็นใหญ่จน ไม่ประนีประนอมให้เกิดความยืดหยุ่นบาง
5. มีความอ่อนไหวน้อยใจมากพอๆ กับความยโส


ราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 21 พฤศจิกายน)
จุดเด่น
1. เป็นคน มีระเบียบวินัยและวางมาตรฐานให้กับชีวิตของตนอย่างเคร่งครัด
2. ไม่ชอบให้ใครเข้ามาในโลกส่วน ตัวของตนเอง
3. มีความทรงจำเยี่ยม มีสมาธิดี มีความรับผิดชอบ
4. มีน้ำใจไมตรี ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ชอบการประจบ
5. เป็นคมมีไหวพริบ
6. รู้จักใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ที่สุด
7. มีจุดยืนและเป้าหมายเด่นชัด

จุดด้อย
1. ค่อน ข้างเข้มงวดกับตนเองและคนอื่นมากไป
2. บางครั้งดูหมิ่นผู้อื่นอยู่ในใจและยาก ที่จะไว้ใจใคร
3. โมโหร้าย หวาดระแวง ยากที่จะประนีประนอม
4. แม้จะไม่ทำ ร้ายใครก่อน แต่ก็มักจะตอบโต้ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงอย่างจริงจัง
5. สามารถที่จะลืมความอ่อนโยนกลาย เป็นคนก้าวร้าวได้ถ้าไม่พอใจ

ราศีธนู (22 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม)
จุดเด่น
1. มีแนวคิดที่ชัดเจน มีหลักปรัชญาในการดูแลชีวิต
2. มี อารมณ์ขันเสมอ ไม่เครียดง่าย
3. ปรับตัวได้ดี มองการณ์ไกล
4. กล้าเผชิญกับสิ่งแปลกใหม่เสมอ
5. เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น
6. ตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง

จุดด้อย
1. เก่งหลาย อย่างแต่ไม่มุ่งมั่นซะอย่าง
2. มักเปรียบเทียบตนกับผู้อื่นจนท้อ
3. ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ไม่เก่งเรื่องวางแผน
4. เก็บเงินไม่ เก่ง
5.ทนไม่ได้หากถูกมองว่าไม่ชื่อตรง จะก้าวร้าวถ้าไม่ได้ดั่งใจ
6. บางครั้งใจแคบ ไม่รู้จักกาลเทศะ
7. ไว้ใจคนง่าย ชอบโต้คารม ชอบอวด ความคิดตน
8. แม้ปัญญาดีแต่ขาดไหวพริบ

3/03/2010

กรรมตามสนอง ตอน หวยพาฉิบหาย

เรื่อง "หวยพาฉิบหาย" นี้ คุณโพธิ์ศรี นักปฏิบัติธรรม กลุ่มขอนแก่นอโศก อายุ ๔๑ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๒๔๗/๑ บ้านหินกอง หมู่ที่ ๔ ต.น้ำพอง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ได้เล่าให้กับผู้เขียนฟัง...

สมัยที่คุณโพธิ์ศรี ยังเป็นเด็ก พ่อแม่และครอบครัวอยู่ที่บ้านโนนสูง จ.อุดรธานี พ่อ-แม่ ค้าขายเครื่องดื่ม จำพวกโอเลี้ยง น้ำชาทำนองนี้

ต่อมา ก็เลิกค้าขาย ไปทำงานอยู่ที่ค่ายทหารชื่อ ค่ายรามสูร ซึ่งเป็นค่ายทหารฝรั่ง พ่อผม ทำงาน อยู่ค่ายทหารแห่งนี้ มานานพอสมควร ตอนนั้น พ่อยังเป็น คนขยันและเป็น คนดีมากเลย

แต่ต่อมา ราวปี ๒๕๐๘-๒๕๐๙ ได้มีเพื่อนของพ่อผมคนหนึ่ง มาชักชวนพ่อให้เข้าสู่ วงการพนัน หวยเถื่อน คือพาไปรับ หวยเถื่อนจากเจ้า มือหวยใหญ่ในเมือง อุดรธานี พอรับมา ขายก็ขายดีมาก พ่อ เลยยึดอาชีพ ขาย หวยนี้ไปเรื่อยๆ

รับหวยมาขายประมาณ ๒ ปี ก็เก็บสะสมเงิน ได้มากพอสมควร แต่คราวหนึ่งพ่อผม ตรวจเลขที่เขาแทงมา ตกหล่นไป พอดีเลขนั้นดัน มาออกเสียด้วย พ่อจำเป็นต้องควักเงินของตัวเอง ออกมาจ่ายแทนเจ้ามือ ตอนนั้น พ่อเสียใจมาก ที่ต้องมาสูญเสียเงินก้อนใหญ่ไป

หลังจากพ่อเสียเงินไปฟรีๆคราวนั้นแล้ว พ่อก็คิดว่า เราขายหวยให้เขามาถึง ๒ ปีกว่าๆแล้ว ทำเงินให้เขามา ก็มากแล้ว การซื้อการขาย เราก็รู้จักหมดแล้ว อย่าเลย ต่อจากนี้ไป เราจะไม่เป็นลูกมือ ของเขาอีกแล้ว เราควรจะตั้งตัว เป็นเจ้ามือหวยเสียเอง จะดีกว่า

หลัง จากนั้นมา พ่อก็ดำเนินงานเป็นเจ้ามือหวยใหญ่เสียเอง แล้วพวกชาวบ้าน ก็พากันมาสมัคร เป็นลูกมือ ของพ่อมากมาย

พ่อเป็นเจ้ามือหวย เถื่อน ทั้งออกขายเอง และให้ผู้คนมารับไปขายด้วย ทำอยู่หลายปี กิจการแรกๆดีพอสมควร ทำให้ฐานะทางครอบครัวของพ่อดีขึ้นมาเรื่อยๆ มีเงินสร้างบ้านหลังใหม่ และมีเงินฝากธนาคาร หลายล้านบาท ทีเดียว ราวปี ๒๕๑๕ อายุตอนนั้น ๔๐ กว่าปีแล้ว พ่อผมมีคน นับหน้าถือตา เรียกว่า ฐานะเทียมเศรษฐี ทีเดียวละ ดวง ของคนน่ะ ผู้ เฒ่าผู้แก่บอกว่า มันมีขึ้น มันก็ย่อมมีลง พอดวง ของพ่อผม มันขึ้นมา ถึงขีดสุดของมันแล้ว มันก็ เริ่มลง ใน ปีนั้น มีพระอาจารย์ได้มาบอกใบ้ ให้หวยแก่ผู้คน แถวๆ ที่พ่อและลูกน้อง ขายหวยอยู่ พวกชาวบ้าน พากันตีเป็นเลข ตัวนั้นตัวนี้ แล้วก็ มาซื้อเลข ผลพอหวยออกมา จะถูกแทบทุกงวดเลย งวดละไม่ต่ำกว่า ๓-๔ แสน คิดดูซิ ! ถูกติด กันอยู่เกือบปี

เงินที่ได้จาก การขายหวย เก็บหอมรอมริบ เอาไว้จำนวนหลายล้านบาท ถึงคราวที่เขา จะเอาของเขา คืนบ้างละ ก็การพนันนี่ครับ พระท่านว่า "มันมีได้ก็ย่อมมีเสีย แต่ส่วนใหญ่จะเสียมากกว่า ได้" เงินที่มีอยู่ ก็นำมาจ่ายไปเรื่อยๆ ร่อยหรอลงๆ ครั้งสุดท้าย เลขดังเลขเด็ดคือเลข ๕๑๐ ผู้คนก็พากันหลั่งไหล มาซื้อกับพ่อ พ่อผมคิดว่า มันจะไม่ออก เลยบอกลูกน้อง รับแทงไม่อั้น

ผลของการออกหวย ครั้งนั้น ออกมาจังๆ เลย ๕๑๐ คราวนั้นพ่อผม ต้องจ่ายไปล้านกว่าบาท เงินสมัยนั้น ล้านกว่าบาท มากโขทีเดียว เรียกว่า คราวนั้น โดนหวยกินหัวจังๆเลยละ ปรากฏ ว่าพ่อผม มีเงินไม่พอ จ่ายค่าหวยเขา พ่อกับแม่ เลยหันหน้า ปรึกษากันว่า เราควรพากันหลบหนีกันดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ เขาจะแห่กัน มาเอาเงินค่า ถูกหวยกันแล้ว

ดังนั้น พ่อแม่ จึงหลบหนีหนี้ค่าหวยไปอย่าง รีบด่วน แล้วปล่อยให้ลูกๆ รับเคราะห์กรรม คือ โดน ชาวบ้าน ที่จะมารับเงิน ค่าถูกหวย ด่าว่า เขาสาปแช่งต่างๆนานา จนบางคนโมโหมาก เกือบ จะมาฆ่าพวกผมตายก็มี

พ่อกับแม่หลบหนี มาเช่าบ้านอยู่กับญาติที่ อ.น้ำพอง จนกระทั่งเห็นว่า เรื่องมันเย็นลงมากแล้ว ก็ให้ยาย มารับพวกผม ไปอยู่ด้วย แต่พ่อยังคิดว่า หากขืนพวกเรา พากันหลบอยู่ใกล้ๆแถวนี้ ผู้คนที่ถูกหวย หากรู้เข้า ก็จะตามมา ทวงถามเอา เงินของเขาเป็นแน่ พ่อจึงบอก พวกเราควรย้าย หนีไปจากที่นี่ ไปอยู่ที่ไกลๆ สักระยะก่อน แล้ว ค่อยกลับมาทีหลัง

จึงพากันย้าย ไปที่หมู่บ้านปากคลาด (ปัจจุบันเป็น อ.ปากคลาด) จ.หนองคาย ไปเช่าบ้านอยู่ได้ไม่นาน พ่อผมก็ยัง ไม่เข็ดขยาดอีก เรียกว่าผีการพนันเข้าสิง สู่จิตวิญญาณ เสียแล้ว พ่อก็ขายหวยอีก ทั้งให้ผู้คน รับไปขายด้วย

พ่อขายหวย อยู่ที่บ้านปากคลาด เป็นเวลาเกือบปี เห็นว่าพอมีเงินใช้หนี้ เขาได้บ้างแล้ว จึงชวนแม่ และลูกๆ กลับมาอยู่ที่บ้านโนนสูง จ.อุดรธานีอีกครั้ง เอาเงินมาใช้หนี้ ค่าหวยเขา คนละห้าสิบเปอร์เซนต์ก่อน แล้วก็มาขายหวยอีก
การกลับมา ขายหวยของพ่อในคราวนี้ มันคงจะเป็นวิบากกรรม ที่พ่อเคยโกงเขา ไม่ยอม จ่ายเงินให้เขา ในคราวที่ พวกชาวบ้านเขาถูกหวยนั้น มันจึงส่งผลมาถึงคราวนี้ เพราะคนถูกหวย ทุกงวดเลย ทั้งๆที่ ไม่มีพระบอกหวยอีก ถูกทีละมากๆด้วย

สุดท้าย พ่อผมเลยเอาที่นาไปจำนอง เอาที่บ้านและที่อยู่อาศัยไปจำนำ เอาเงินมาจ่ายค่าหวยเขา ตอนนี้พ่อผม กลายเป็นคน คล้ายเสียสติ เป็นเหมือนคนบ้า นั่งเหม่อลอย ข้าวปลาอาหารก็ไม่ค่อยสน นอนก็ไม่ค่อยจะหลับ ผุดลุกผุดนั่ง บ่นอุบอิบอยู่คนเดียว

พ่อเคยมีเงินใช้จ่าย ทีละมากๆ มีเงินอยู่ธนาคาร ตั้งหลายล้านบาท เคยมีไร่นา เคยมีคนนับหน้าถือตา แต่คราวนี้ พ่อโดน "หวยกินหัว" เสียหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่ง ที่อยู่อาศัยก็ ไม่มีแล้ว พ่อคงต้อง คิดหนักมาก ในคราวนั้น

แล้วในคืนวันหนึ่ง พ่อปรึกษากับแม่ว่า จะกลับไปเยี่ยมปู่-ย่า เพื่อจะถามไถ่ ขอเงินมาไถ่บ้าน และไร่นา ที่พ่อ เอาไปจำนอง เขาไว้นั้น บ้านปู่- ย่าของผม อยู่ที่บ้านคำอีปุ่ม จ.ขอนแก่น

ถึงที่นั่นแล้ว พ่อกลับไม่ได้ไปปรึกษาเรื่องเงิน ที่จะมาไถ่ที่ดิน เพียงมาเยี่ยมเยียนเฉยๆ แต่ ทว่าพ่อได้นำ เอาเรื่อง ของการสูญเสียเงินทอง ไร่นา ที่อยู่อาศัย ไปปรึกษากับเพื่อนๆที่เป็น "เสือปล้น" ซึ่งอยู่ในหมู่บ้าน ของปู่-ย่า ของผมนั่นเอง
เพื่อนๆของพ่อ ล้วนแล้วแต่เป็นเสือปล้น ที่มีประวัติ ในการปล้นมาแล้ว อย่างโชกโชนทีเดียว โดยเฉพาะ หัวหน้าโจร มีค่าหัวเป็นแสน โจรกลุ่มนี้ มีอยู่ ๗-๘ คนด้วยกัน พอพ่อเอาเรื่องความทุกข์ใจ ไปปรึกษา พวกเพื่อนๆของพ่อ ก็พูดว่า "ไม่เป็นไร หรอกน่า เดี๋ยวข้าจะพาเอ็งไปปล้น เอาเงินมาไถ่ไร่ ไถ่นา ไถ่ที่ ไถ่บ้านของเอ็ง ว่าแต่ว่าเอ็ง จะกล้าไปปล้น กับพวกข้าไหมล่ะ"

พ่อผมคงจะคิดว่า เมื่อมันจนตรอกแล้ว ทำอะไรก็ได้ ที่มันจะได้เงินมาจึงตอบรับไป แล้วแผนการณ์ ออกปล้น ก็เกิดขึ้น.... ในครั้งนั้น ก็พากันไปปล้น แถวๆละแวกบ้าน ที่อยู่ใกล้ๆ หมู่บ้าน ของปู่ย่า ของผมนั้นเอง

พ่อเป็นเสือปล้นในคราวนั้น ก็เพราะความจําเป็น เป็นเสือหัดใหม่ หรือจะเรียกว่า มือใหม่หัดปล้นก็ว่าได้ พ่อไปกับเพื่อนๆ ที่เป็นเสือร้าย ที่ผ่านสนามปล้นมาแล้ว อย่างโชกโชน เรียกว่า เสือชํานาญการปล้น การฆ่าทั้งนั้น

การไปปล้นคราวนั้น พ่อและเพื่อนๆ พากันปิดหมู่บ้านปล้นเลยละ ทุกคนใช้ผ้า คลุมหน้ากันหมด ปล้นตั้งแต่ เวลา ๙.๐๐ น. ยันเที่ยงวัน เรียกว่าปล้นทุกหลังคาเรือนเลย แต่ได้เงิน ไม่มากพอกับความต้องการ ผู้เป็นหัวหน้าโจร เลยสั่งให้ลูกน้อง จับเอาชาวบ้านไป เพื่อจะให้ชาวบ้าน นําเงินไปไถ่เอาตัวคืน

เมื่อปล้นเสร็จ พวกเสือปล้นทั้ง หลายก็พากันล่าถอย เดินตามเส้นทางลัดผ่าป่าดง พอเดินไปได้ สักพัก ประมาณ ๔-๕ ก.ม. ก็พากันหยุดพัก เพื่อรอเงิน จากชาวบ้าน ที่จะเอาเงินมาไถ่ตัวประกัน สัก พักใหญ่ๆ ชาวบ้านก็ได้นําเอา เจ้าหน้าที่ตํารวจจาก อ.น้ำพองให้มาจับโจร พร้อมกับให้มาช่วย ตัวประกันด้วย ตํารวจพูดขึ้น ว่า "นี่เจ้าหน้าที่ตํารวจ ขอให้ยอมมอบตัวซะดีๆ เพราะขณะนี้ ตํารวจได้ล้อม เอาไว้หมดแล้ว ถ้าไม่ยอมมอบตัว จะจัดการขั้นเด็ดขาด"

เสือมันก็คือเสือนั่นแหละครับ พวกเสือร้าย ได้ยินคําว่า ตํารวจมาเท่านั้น แหละ สัญชาตญาณ ของเสือร้าย มีหรือ ที่ยอมให้จับ หรือมอบตัวง่ายๆ พวกเสือร้ายก็เปิดฉากยิงปืน เข้าใส่เจ้าหน้าที่ตํารวจก่อนทันที

พ่อเป็นคนเฝ้าตัวประกัน เป็นเสือจําเป็น เป็นเสือเพิ่งหัดใหม่ พอได้ยินคําว่า ตํารวจมาเท่านั้น ก็เกิด ความพะวักพะวง คิดไม่ถึงว่า เหตุการณ์มันจะเลวร้ายอย่างนี้ ยิ่งเห็นตํารวจ และโจรร้าย ยิงต่อสู้กัน ก็ยิ่งตกใจกลัว จนตัวสั่น กลัวความผิด กลัวตํารวจจะจับได้ กลัวติดคุก ติดตะราง จึงรีบปล่อยตัวประกัน ให้เป็นอิสระ พวกเสือร้าย ได้โยนระเบิดมือ ใส่เจ้าหน้าที่ ตํารวจ เพื่อเป็นการเปิดทางหนี พอระเบิดดังตูม! ขึ้นเท่านั้น พวกเสือร้าย ที่ชํานาญการปล้นจี้นี้ ก็พากันหลบหนี ไปหมดทุกคน

ส่วนพ่อผม ไม่เคยทําความผิด ไม่เคยปล้น จี้เขากิน ไม่เคยเจอเหตุการณ์ อย่างนี้มาก่อนเลย ในชีวิต เลยไม่รู้จัก หนีเอาตัวรอด ได้แต่ยืนตัวสั่นงันงก อยู่อย่างนั้นเอง สุดท้าย พ่อเลยโดน ลูกปืนของ เจ้าหน้าที่ ตํารวจ จนตัวตายในที่เกิดเหตุ นั้นเอง

สําหรับกระผม ผู้เป็นลูกของพ่อ ก็อยากจะขอติงเตือน คนที่ยังชอบซื้อหวย ชอบขายหวย หรือชอบเล่น การพนันอยู่ละก็ จงเลิกเล่น เลิกซื้อ เลิกขายกันเถอะครับ ดูตัวอย่างของพ่อผมซิ หากพ่อไม่ถลําตัว ไปเล่นหวย จนไปขายหวยเบอร์ พ่อผมคงจะไม่โดนหวยพาฉิบหาย จนหมดวัว หมดควาย หมดไร่ หมดนา หมดแม้กระทั่ง ที่อยู่อาศัย แถมโดนผู้คน สาปแช่งว่าร้าย จนพวก ลูกๆนี่อายผู้คน สุดท้าย ต้องมาสูญ เสียชีวิตไป เพราะหวยกินหัวนี้เอง


ก่อนจาก กระผมผู้เขียนอยากจะนําเอา บทเพลงของคุณซึ้งบุญ บุรณกิติ ที่ร้องอยู่ ในเท็ปชุด "ลําเพลิน จุดไฟชีวิต" ชื่อเพลง "หวยกิน หัว" เธอร้องเอาไว้ มีคติสอนใจดีมาก กระผมอยาก จะนําเอามา ให้ท่าน ที่ยังซื้อหวย ยังเล่นหวยเบอร์อยู่ ได้นําเอาไปร้อง เพื่อเป็นคติ เตือนใจบ้าง


"อยาก จะรวยทางลัดอนาจจิต เฝ้าแต่ คิดไปมาห่วงหาหวย กราบผีไหว้พระก็กะจะรวย ขอแต่หวยให้อะไร ก็ไม่เอา อันศีลห้าพระมีให้ ไม่ขอ ทั้งหลวงพ่อหลวงพี่แม่ชีเฒ่า ให้ธรรมะอะไรก็ไม่เอา จะอวยแต่เหา จะเอาแต่หวยลูกเดียว

เที่ยวไปไหว้หลวงตาญาท่าน ต้องการหวยท่อนั้น คั้นสั้นบ่มา งวดนี้น่า หลวงตาว่าโตใด๋ พระกะอุ๊กพอต่ายหน่าย โยมจอมลุ้น มา วายวุ่นคนหมุนอยู่บางกอก ผู้บอก อยู่กุดข้าวปุ้น สิมีลุ้นจั่งใด๋ ปูต้นไม้ ทาแป้งใส่เทียนลน ยากนําคนหาหวยจนป่วย ตายลางต้น

บางคนนั้น อธิษฐานสาก่อน ยามสินอน นั้นจาเว้าต่อมะลาง ปู่ย่าบ้างพ่อแม่ตายป๋า นม หามือเป็นหอน ค่อยวิงวอนเว้า เชิญมาเข่าความฝัน บอกเลขแน่ เด้อพ่อแก้วแม่แก้วตายแล้วกะแอ่วลาว ผีบอกหน คนบอกขึ้นเพิ่นเว้าเข่าท่าก๋า
รวย ทุ่มใส่หวยเมิดมี เชื่อผีลุงป้า แทงสูนห้า ดันมาออกสูนสี่ มีแต่หลุมอ้อยต้อย อ้อยต้อย หลงป้อยซะซาย

ฉิบหายมาร้องไห้ร้องห่ม อาจารย์อาจม ซังกะบ้วย บอกใบ้ให้มาว่าจะรวย กลับถูกหวย กินหัวไอ้ตัวซวย หวยใต้ดิน บนดิน มันดิ้นได้ พลิกไปพลิกมาดังปิงกรวย ว่าจะรวยรับทรัพย์ แต่กลับต้องซวย บ่แม้นหมูในอวย นะหวยเบอร์ เผลอๆถูกหวยกินหัว

กลัวเหลือล้น แทงบนมันออกล่าง ทั้งลอดศอกออกข่าง จนตั้งบ่เซน เจ้งแล้วเจ้ง เก่งกว่าห่ากินหัว มีแต่ตั๋วกับตั๋ว ห่ากินหัวอาจารย์เอ้ย ห่ากินหัวอาจมเอ้ย........."
- ก่อแก่น -


(สารอโศก อันดับที่ ๒๔๘ พฤษภาคม ๒๕๔๕)

ผลกรรมผู้หญิงแต่งกายไม่สำรวมเข้าวัด

ผู้หญิง เข้าวัดแต่แต่งตัวไม่สำรวม


ผู้หญิง ที่เข้าวัดแต่แต่งตัวไม่สำรวมอวดเนื้อหนังให้พระหวั่นไหวต่อไปจะได้รับ
ผลกรรมอย่างไร...?

ขอบเขตของคำถามที่ว่า ‘แต่งกายไม่สำรวม’ เข้าวัดนั้น อาจทำให้เพ่งโทษคับแคบ ต้องค่อยๆ
มองให้ คลุมข้อเท็จจริงตามลำดับครับ

โดยความ เป็นเพศหญิง มีธรรมชาติดึงดูดใจ หรือล่อตาอยู่ในตัวเองเดินๆไปถ้าเป็นที่สนใจได้ก็ถือว่ามีรูปสมบัติอันพึงมี สมเพศตนถ้าวันไหนแต่งองค์ทรงเครื่องได้ถึงขนาดชายหญิงมองเหลียวหลังกันทั่ว ทุกหัวระแหงก็จะยิ่งภาคภูมิเต็มอิ่มประมาณเดียวกับที่นักวิ่งเข้าเส้นชัยได้ เป็นคนแรกทีเดียว

ฉะนั้นผู้หญิงที่รูป ร่างหน้าตาดีเกือบทุกคนจึงอดไม่ได้กับการอยากทดสอบเสน่ห์ของตนแล้ว
อะไรจะเป็นเครื่องทดสอบได้ดีไปกว่าผู้ประกาศตนว่าสละ เรื่องทางเพศแล้วไม่สนใจเพศหญิงอีกแล้ว

สมัยนี้พระทั่วไปไม่ใช่เครื่องทดสอบที่น่าท้าทายอะไรนัก เนื่องจากข่าวฉาวที่ประดังเข้าหูเข้าตาผ่านหน้าหนังสือพิมพ์แทบไม่เว้นแต่ละ วันทำให้ผู้หญิงยุคใหม่มองพระไม่ต่างจากชายนุ่งกางเกงนอกวัดทั้งหลายหากทำ ให้สนใจได้ยังไม่ถือว่าแน่อะไรนัก เท่าที่ทราบจากคำให้การของสาวๆส่วนใหญ่จะรู้สึกสมเพชและนึกดูถูกพระที่ไม่ สำรวมเพ่งเล็งตนด้วยสายตากรุ้มกริ่มตั้งแต่แรกเห็นยิ่งกว่าสมเพชและดูถูก ผู้ชายทั่วไปมากเนื่องจากใส่เครื่องแบบที่ควรจะมีสง่าราศีเยี่ยงภิกษุผู้ อิ่มแล้วแต่กลับทำตัวกระจอกไม่ต่างจากนักโทษที่หิวโซ

แต่หากกลับเป็นตรงข้ามถ้าเป็นพระชื่อดัง ที่มีคนร่ำลือว่าเป็นผู้สงบ เป็นผู้สำรวมการทำให้
ท่านสนใจได้ นับว่าน่าภาคภูมิใจเป็นพิเศษระดับความอยากให้สนใจก็ต่างๆกันไปตามพื้นความ คิดความอ่านของผู้หญิงแต่ละคน
เท่าที่ได้ ทราบจากปากของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งตั้งใจสละโลกและเข้าประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ เธอยอมรับว่ารู้สึกผิดและละอายคือพออยู่ๆในวัดไปแล้วอดไม่ได้เห็นชายที่ เคร่งๆแล้วอยากลองเสียหน่อยว่าเขาจะทนเสน่ห์เธอไหวไหมในระดับของเธอ ก็จัดได้ว่ามีสติดีและยอมรับตามจริงมากพอที่จะเห็นแม้อาการตั้งใจเล็กๆน้อยๆ ของตน เช่นชม้ายตาหรือไม่มีอะไรเลยก็เดินด้วยความรู้สึกเป็นเป้าล่อความสนใจของผู้ เคร่งในธรรมธรรมดาผู้หญิงที่เคยถูกจับจ้องมามากจะสำเหนียกรู้ได้ว่ากำลังมี ผู้ชายสนใจตนอยู่หรือเปล่าและเป็นการแอบชำเลืองหรือเพ่งเล็งเขม็งเป็นความ สนใจด้วยความชื่นชมหรือเจืออยู่ด้วยราคะและราคะนั้นถึงขั้นหื่นกระหายหมดรูป หรือว่าเป็นเพียงความวาบหวามแบบอ่อนๆ


หากทำได้ครั้งหนึ่งก็นึกยินดี หรือนึกภูมิใจว่าตนแน่ยิ่งพระที่ขึ้นชื่อว่าปลอดกิเลสเท่าไร ยิ่งอยากทำให้สนใจตนมากขึ้นเท่านั้นแต่หากปลูกฝังจิตสำนึกในทางละอายเอาไว้ ก่อนก็จะรู้สึกผิดรุนแรงที่ทำเรื่องไม่งาม ไม่สมควร หรือบางคนยั่วให้สนใจสำเร็จเห็นพระทำตาหวานใส่ ก็พานเกลียดชัง พานสาปส่ง หมดความนับถือไปเลยไม่เหลือเกียรติให้ต้องเคารพกันอีก และไม่คิดหวนกลับไปทำบุญที่วัดนั้นตลอดชีวิตนี่นับเป็นความขัดแย้งในตัวเอง ที่น่าปวดหัว

ที่กล่าวมาคือหญิงผู้มี สำนึกในธรรมแล้วนะครับตั้งใจจะเดินบนเส้นทางสีขาวแน่นอนแล้วยังเจอเรื่อง มิติมืดภายในตนเล่นงานให้ย่ำแย่เข้าได้ แล้วผู้หญิงธรรมดาโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับการรับรู้ข่าวคาวๆ ฉาวๆของพระล่ะ?

เท่าที่ทราบแนวโน้ม ของสาวรุ่นใหม่จะไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับเครื่องแบบที่เหมาะหรือไม่เหมาะ กับเขตวัดถ้าเพิ่งเข้าวัดใหม่ๆหรือนานๆเข้าวัดทีจะนึกไม่ถึงว่าเสื้อยืดและ กางเกงรัดรูปที่‘แต่งกันเป็นปกติ’ นั้นอาจมีความยั่วตายวนใจ และรบกวนตบะของพระสงฆ์ได้ง่ายๆ

แต่จะ มีสาวอีกกลุ่มหนึ่ง ที่จงใจแต่งตัวหวือหวาขัดกับสถานที่ให้เป็นที่สนใจของคนอื่น ไม่ว่าจะพระเณรหรือฆราวาสด้วยกันเข้าหลักถ้าอยากเด่นต้องทำตัวให้ไม่มีใคร เหมือน เขาหลิ่วตาเราอย่าหลิ่วตามเขาแต่งขาวเราต้องแต่งดำ ผู้หญิงอื่นปกปิดเราต้องเปิดโปง

เอา เฉพาะเจตนาอันหนักแน่นข้อนี้นะครับถ้าแต่งตัวโป๊เพื่อล่อตาล่อใจเพศตรงข้าม ในวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำด้วยความภาคภูมิใจและไม่สำนึกผิดภายหลังหญิงนั้น ได้ชื่อว่าเพาะเชื้อแห่งความเป็นธิดาพญามารไว้ในตนแล้ว

การทำบุญสร้างความเป็นธิดาพญามารมีหลายระดับถ้าแจกแจง ละเอียดยิบคงเป็นปึก ในที่นี้ขอแยกเป็นคร่าวๆให้เห็นภาพง่ายสุดคือ

๑) เมื่อถึงเวลาทำบุญ ก็ทำด้วยน้ำจิตเลื่อมใสของที่นำมาถวายเป็นการจัดหาของตนหรือตั้งใจร่วมสวด หรือฟังเทศนาธรรมด้วยอาการสำรวม ก็เป็นบุญที่มีกำลังมากหากเสน่ห์ที่นำมาโปรยในวัดมีกำลังอ่อน แค่ในระดับล่อตาล่อใจไม่ถึงขั้นรู้สึกว่าถ้าสึกพระได้ถือว่าเจ๋ง อย่างนี้มีวิบากเป็นกระแสดึงดูดใจแต่เจือด้วยปัญหาร้อนใจในการคบเพื่อนต่าง เพศ เพราะใครๆก็จ้องตาเป็นมันและมักเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ทางเพศเป็นหลักแต่ กว่าจะกอบโกยประโยชน์จากเนื้อหนังไปได้เต็มอิ่ม กว่าจะรู้สึกจืดชืดก็เนิ่นนานแรมปี

เมื่อ ตายไป กำลังของบุญอาจเป็นแรงฉุดขึ้นสวรรค์ถ้าจิตไม่ผูกพันกับการยั่วยวนคนในวัด ก็จะอยู่ในหมู่เทวดาที่เสวยบุญรื่นเริงเช้าค่ำตามปกติ แต่หากจิตผูกพันกับการยั่วยวนคนในวัดก็จะไปอยู่ในหมู่เทวดาฝ่ายมาร มีใจขวางผู้ปรารถนาความหลุดพ้นเห็นใครประพฤติพรหมจรรย์เก่งๆก็อาจทุรนทุราย อยากลองของเช่นลองมาเข้าฝันแสดงภาพงามวิจิตรล่อใจเสียหน่อย ดูซิว่าจะเผลอหลุดฟอร์มไหมพร่ำละเมอเพ้อพกถึงนางในฝันได้ไหม

๒) เมื่อถึงเวลาทำบุญ ใจก็ยังวอกแวกคอยสังเกตว่ามีใครมองตนไหม เมื่อร่วมสวดมนต์กับคนอื่นก็ไม่ตั้งใจเมื่อฟังเทศนาธรรมก็ฟุ้งซ่านเรื่องแฟน อย่างนี้เป็นบุญที่มีกำลังอ่อนและเจืออยู่ด้วยราคะ หากเสน่ห์ที่นำมาโปรยในวัดมีกำลังกล้าแข็งถึงขั้นเห็นว่าถ้าสึกพระได้นับ เป็นยอดหญิง อย่างนี้มีวิบากเป็นกระแสน่ารังเกียจไม่น่าเข้าใกล้ ไม่น่าจับต้อง ตัวไม่เหม็นแต่ก็เหมือนเหม็นอย่างไรบอกไม่ถูกผู้ชายเข้ามาด้วยความหน้ามืด สถานเดียวและมักเป็นประเภทที่เสพสมครั้งเดียวแล้วเบื่อทันทีอยากทิ้งขว้าง เหมือนกระดาษชำระที่ใช้แล้วทันที แทบไม่มีแก่ใจอยากแตะต้องต่อเว้นแต่รอให้หน้ามืดอีกทีคราวหลัง

เมื่อตายไปกำลังของบาปมักรั้งลงต่ำถึงอบายภูมิ อาจไปเป็นเปรตจำพวกอสูรยิ่งถ้าจิตผูกพันกับการยั่วยวนคนในวัด ก็จะอยู่ในเขตอสุรกายใจทรามชอบเข้าฝันพระหรือชายดีๆ แสดงเป็นแต่ภาพลามกจกเปรต ล่อให้คิดถึงกามารมณ์และมักเป็นกามารมณ์ที่ผิด หรือสถานเบาถ้ามีวาสนาได้กลับมาเป็นมนุษย์ก็อาจมีความต้องการทางเพศสูง อย่างที่เรียกกัน (แบบผิดความหมายเดิม)ว่าเป็นฮิสทีเรีย อยากมีอะไรกับผู้ชายไม่เลือกหน้า เป็นต้น

สิ่งที่ค่อนข้างแน่นอนคือถ้าผู้หญิงเข้าวัดโดยมีใจเจืออยู่ ด้วยเรื่องทางเพศหรือเรื่องเกี่ยวกับการดึงดูดใจชาย เกิดใหม่มักจะเป็นหญิงอีกและห่วงเรื่องความดึงดูดใจของตนเป็นที่หนึ่งจะ กระวนกระวายมากถ้ารู้สึกว่าตนเองขาดความดึงดูดใจ ไม่น่าชมได้เงินเดือนมามักถมลงไปกับเรื่องความสวยความงามเป็นหลัก

ทางที่ดีที่สุด ถ้าเริ่มเข้าวัดด้วยใจที่สะอาด ไม่มีเจตนาให้พระมาเพ่งพิศตนจะปลอดภัยที่สุดครับ การแต่งกายปกปิดมิดชิดก็เป็นการสะท้อนถึงเจตนาอันดีผมทราบว่าสุภาพสตรีหลาย ท่านมี‘ชุดปกติ’ รัดรูป ตอนเข้าวัดยากจะหา ‘ชุดปกปิด’ ได้เจอ อันนี้ขอแนะนำว่าหากทราบแน่ว่าต้องตามที่บ้านไปเข้าวัดประจำ ก็ควรหาซื้อ ‘ชุดพิเศษ’ มาเพื่อแสดงเจตนารมณ์อันดีในการเข้าวัดโดยเฉพาะครับ

ดังตฤณ
http://www.watthummuangna.com/board

1/27/2010

นินทานั้นไม่มีโทษ...แก่ผู้ถูกนินทาเลย

นินทานั้นไม่มีโทษ...แก่ผู้ถูกนินทาเลย


ผู้ถูกนินทาพึงมีเหตุผล

คำ นินทาใดๆ ไม่อาจทำคนดีให้เป็นคนไม่ดีไปได้ คนจะดีก็เพราะกรรม คนจะเลวก็เพราะกรรม หาใช่จะดีเพราะสรรเสริญ หรือจะเลวเพราะนินทาก็หาไม่

ควร ถือความจริงนี้เป็นสำคัญ และอย่าทำหรือไม่ทำอะไรเพราะกลัวนินทาหรือเพราะปรารถนาสรรเสริญ อย่าทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่แม้เพียงสงสัยว่าเป็นกรรมไม่ดี แต่จงทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่พิจารณาแล้วตระหนักแน่ชัดว่าเป็นกรรมดีเท่ากัน แม้ว่าการทำกรรมดีจะมีผู้นินทา

นินทา นั้นไม่มีโทษแก่ผู้ถูกนินทาเลย ถ้าผู้ถูกนินทาไม่รับ คือไม่ตอบ เช่นเดียวกับผู้ถูกด่าไม่ด่าตอบ ผู้ถูกขู่ไม่ขู่ตอบ ผู้ถูกชวนวิวาทไม่วิวาทตอบ แต่คำนินทาว่าร้ายทั้งจะตกเป็นของผู้นินทาทั้งหมด ผู้นินทาคือผู้ทำกรรม ซึ่งเป็นกรรมไม่ดี ไม่ว่าผู้ถูกนินทาจะรับหรือไม่รับก็ตาม ผู้นินทาย่อมได้รับผลไม่ดีแห่งกรรมไม่ดีของเขาอย่างแน่นอน

ดัง นั้นแม้เมื่อถูกนินทาแล้ว ก็ให้คิดว่าผู้นินทาเราได้รับการตอบแทนแล้ว คือได้รับผลของกรรมไม่ดี ซึ่งจะส่งผลให้ปรากฏช้าหรือเร็วเท่านั้น ผลของกรรมไม่ดีนั้นแหละได้ตอบแทนเขาผู้นินทาแล้ว เราไม่มีความจำเป็นต้องตอบแทนแต่อย่างใด

ความ เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรมมีคุณอย่างที่สุด ผู้ใดทำกรรมไว้จักได้รับผลของกรรมนั้น ความเชื่อเช่นนี้จักทำให้ไม่คิดร้ายตอบผู้คิดร้าย เป็นการระงับเวรภัยไม่ให้เกิดแก่ตน เป็นการป้องกันตนมิให้ทำกรรมไม่ดี ทั้งทางกายวาจาและใจ โดยมุ่งให้เป็นการแก้แค้นตอบแทน ผลจักเป็นความสงบสุขแก่ตนและแก่ผู้อื่นด้วย



ที่มา : การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ผลของกรรมไม่ดี 10 ข้อ อกุศลกรรมบททั้งสิบเหล่านี้ ถ้าหากผู้นั้นไม่ได้ลงนรก เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะได้รับสิ่งเหล่านี้ ได้แก่


ปาณาติบาต ผลของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (รวมไปถึงการทำร้ายสัตว์ด้วยแม้ไม่ถึงตายก็ตาม)มี ๙
ประการ คือ

๑. พิการ
๒. รูปไม่งาม
๓. กำลังกายอ่อนแอ
๔. กำลังกายเฉื่อยชา
๕. เป็นคนขลาด
๖. ฆ่าตนเอง หรือถูกฆ่า
๗. โรคภัยเบียดเบียน
๘. ความพินาศของบริวาร กำลังปัญญาไม่ว่องไว
๙. อายุสั้น


อทินนาทาน ผลของการลักทรัพย์ของผู้อื่น แม้เพียงเงินหนึ่งบาทมี ๖ ประการ คือ

๑. ด้อยทรัพย์
๒. ยากจน
๓. อดอยาก
๔. ไม่ได้สิ่งที่ตนปรารถนา
๕. พินาศในการค้า
๖. ทรัพย์พินาศเพราะอัคคีภัย อุทกภัย ราชภัย โจรภัยเป็นต้น


กาเมสุมิจฉาจาร ผลของการล่วงละเมิดในคนรักของผู้อื่น มี ๑๑ ประการ คือ

๑. มีผู้เกลียดชังมาก
๒. มีผู้ปองร้ายมาก
๓. ขัดสนทรัพย์
๔. ยากจนอดอยาก
๕. เป็นหญิง (เป็นหญิงที่อับโชค)
๖. เป็นกระเทย
๗. เป็นชายในตระกูลต่ำ
๘. ได้รับความอับอายเป็นอาจิณ
๙. ร่างกายไม่สมประกอบ
๑๐. มากไปด้วยความวิตกห่วงใย
๑๑. พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก


มุสาวาท ผลของการพูดเท็จ มี ๘ ประการ คือ

๑. พูดไม่ชัด
๒. ฟันไม่เป็นระเบียบ
๓. ปากเหม็นมาก
๔. ไอตัวร้อนจัด
๕. ตาไม่อยู่ในระดับปกติ
๖. กล่าววาจาด้วยปลายลิ้น และปลายปาก
๗. ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย
๘. จิตไม่เที่ยงคล้ายวิกลจริต


ปิสุณาวาท ผลของการพูดยุยงนินทา ให้ผู้อื่นรังเกียจ แตกสามัคคีรักใคร่กัน มี ๔ ประการ คือ

๑. ตำหนิตนเอง
๒. มักจะถูกลือโดยไม่มีความจริง
๓. ถูกบัณฑิตตำหนิติเตียน
๔. แตกมิตรสหาย


ผรุสวาท ผลของการพูดเพราะความโกรธ การด่า ให้ผู้อื่นเจ็บปวดช้ำใจ หรือพูดหยาบให้เขาโกรธเคือง มี ๔ ประการ คือ

๑. พินาศในทรัพย์
๒. ได้ยินเสียง เกิดไม่พอใจ
๓. มีกายและวาจาหยาบ
๔. ตายด้วยอาการงงงวย


สัมผัปปลาปะ ผลของการพูดเพ้อเจ้อ เช่น การล้อเล่น ,พูดจาไม่มีประโยชน์, พูดเล่น พูดเรื่องหนัง เรื่องดารา เรื่องไม่มีเหตุผล ฯลฯ มี ๔
ประการ คือ

๑. เป็นอธัมมวาทบุคคล (เป็นคนพูดไม่มีสาระที่จะถือเอาได้)
๒. ไม่มีผู้เลื่อมใสในคำพูดของตน พูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อฟัง ถูกรังเกียจ
๓. ไม่มีอำนาจ เป็นคนต้อยต่ำ
๔. จิตไม่เที่ยง คือ วิกลจริต


อภิชฌา ผลของความอยากได้ อยากมีในทรัพย์ของผู้อื่นมี ๔ ประการ คือ

๑. เสื่อมในทรัพย์และคุณงามความดี
๒. ปฏิสนธิในตระ***ลต่ำ
๓. มักได้รับคำติเตียน
๔. ขัดสนในลาภสักการะ


ผลในปวัตติกาลของพยาบาท(ความเพ่งเล็ง คิดร้าย อยากให้ผู้อื่นเสียหาย - เช่นขอให้ตายไวไวเป็นต้น) มี ๔ ประการ คือ

๑. มีรูปทราม
๒. มีโรคภัยเบียดเบียน
๓. อายุสั้น
๔. ตายโดยถูกประทุษร้าย


มิจฉาทิฏฐิ ผลของความเห็นผิด มี ๔ ประการ คือ

๑. ห่างไกลรัศมีแห่งพระธรรม
๒. มีปัญญาทราม
๓. ปฏิสนธิในพวกคนป่าที่ไม่รู้อะไร
๔. เป็นผู้มีฐานะไม่เทียมคน


สุราเมรัย ผลของเสพสุราเมรัย มี ๖ ประการ คือ

๑. ทรัพย์ถูกทำลาย
๒. เกิดวิวาทบาดหมาง
๓. เป็นบ่อเกิดของโรค
๔. เสื่อมเกียรติ
๕. หมดยางอาย
๖. ปัญญาเสื่อมถอย

โรงเรียนปริยัติธรรม (ไม่อ่านแต่แค่ส่งต่อก็ยังดีนะ เป็นกุศล)


              โรงเรียนปริยัติธรรม (ไม่อ่านแต่แค่ส่งต่อก็ยังดีนะ เป็นกุศล)

เมื่อคืนประมาณ 1-2 ทุ่ม ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากพระอาจารย์ที่นับถือท่านหนึ่ง
คือ พระมหาแผน ท่านโทรมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลมาก ได้ความว่า

ตอนนี้สามเณรที่ท่านดูแลอยู่ 90 รูป กำลังจะลำบาก
เพราะอาหารที่มีอยู่กำลังจะหมดไป

ของใหม่ก็ไม่มีมาเพราะอยู่ห่างไกลจากชุมชน
ข้าพเจ้าเคยค่อนท่านหลายครั้งว่า ทำไมต้องเอาลูกเค้ามาเลี้ยง
ท่านก็ตอบเหมือนๆกันทุกครั้งไปว่า เด็กๆ พวกนี้เป็นคนยากจน พ่อไปทาง แม่ไปทาง
เป็นโจรไปก็มีท่านว่าฉันเอาเค้ามาเลี้ยงอย่างน้อยๆ
ก็สั่งสอนเค้าให้เป็นคนดีในสังคมได้ เหลือท่าเด็กมันมีบุญ วาสนา
ก็จะได้เป็นเนื้อนาบุญ สืบต่อพระศาสนาต่อไป ข้าพเจ้าก็จนแต้มอีกตามเคย
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระอาจารย์ท่าน เล่าให้ฟังว่า ท่านได้เรียก
ประชุมเณรเพราะท่านหมดกำลังที่จะดูแลเณรน้อยทั้งหลายต่อไป
ท่านทั้งหลาย ทราบหรือไม่ว่าเกิด อะไรขึ้น?
สามเณรน้อยพร้อมใจกันกราบแทบเท้าท่านแล้วพูดว่า
หลวงพ่อกินเกลือพวกผมก็กินเกลือ
แต่ถ้าท่านอด พวกผมก็ยอมอดข้าพเจ้าฟังแล้วน้ำตาไหล
มีเด็กจำนวนหนึ่งข้าพเจ้าได้เป็นเจ้าภาพ
บวชให้ จำได้ว่า มีเด็กอยู่คนหนึ่ง อายุ 10-11 ขวบ
ไม่ได้แจ้งข้าพเจ้ามาก่อนว่าต้องการบวช
เธออุตส่าห์ โกนหัวมาเสร็จสรรพ มาแต่เช้าตรู่
เธอหลบอยู่ใต้ถุนศาลาพอเห็นข้าพเจ้าก็ตรงมากราบเท้า
ข้าพเจ้า แล้วบอกว่า คุณน้าผมอยากเป็นคนดี
คุณน้าช่วยผม ด้วยในที่สุด ก็เป็นเจ้าภาพบวชให้เธอ

ข้าพเจ้ามานั่งคิดๆว่าถ้าอาหารหมดทีก็หาให้ที
มันจะเป็นเหมือนเบี้ยต่อไส้
เลยอยากจะตั้งกองทุนเพื่อ
อาหารพระเณรข! ึ้นมาสั กกอง
จะได้เป็นทุนสำรองต่อไป
วันนี้ข้าพเจ้าได้ให้พี่สาวไปเปิดบัญชีไว้และได้
กราบเรียนท่านพระอาจารย์
ท่านดีใจใหญ่และได้ซื้อ ข้าวสาร 50 ถุง
น้ำปลา 2ลัง
ขนมปัง 6ปีบ น้ำ
แดง 1 ลัง น้ำ มัน 1 ลัง น้ำตาล 10ถุง
เกลือ 10 ถุง มาม่า 4 กล่อง
ไว้ใช้ก่อนชั่วคร าว
จึงขอเรียนเชิญทุกท่าน
ผู้ใจบุญทั้งหลายมาช่วยกันก่อตั้งกองทุนในครั้งนี้ เพื่อสืบต่อ
อายุพระสงฆ์ สามเณร และ พระพุทธศาสนา
ท้ายสุดนี้
ขอกราบอารธนาบารมีพระพุทธเจ้า
ทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ขอให้ทุก
ท่านผู้เป็นกำลังใหญ่ในการสืบทอดอายุบวรพระพุทธสาสนา
จงมีความสุข สวัสดีตลอดตราบเท่า เข้าสู่
นิพพานเถิด สาธุ สาธุ สาธุ'
สิ่งของที่รับบริจาคสงเคราะห์
พระภิกษุสามเณร (081-940 8541 พระมหาแผน )
1. ข้าวสาร อาหารแห้ง เช่น กะปิ น้ำปลา ซอส เครื่อง แกง
เครื่องปรุงแต ่งรสอาหาร ผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น
2. อุปกรณ์ การศึกษา เช่น สมุด ปากกา ดินสอ ยางลบ
ไม้บรรทัด เป็นต้น
3. หนังสือเรียน นักธรรม ตรี โท เอก และสายสามัญ

* **โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสายสามัญศึกษา**
สำนักสงฆ์ บ่อเงินบ่อทอง** **ต. หนองแหนอ.พนมสาร คาม จ.ฉะเชิงเทรา**
หมายเลขบัญชี** 203-0-06304-5**
ธ. กรุงไทย สาขา พนมสารคาม **
ชื่อบัญชี ร.ร. ปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง***
' อาตมาภาพ ขอบิณฑบาต เป็นอาหารแห้ง เช่น ข้าวสาร
เครื่องปรุงรสแกงต่างๆตลอดถึง ผ ัก ปลา หมู ไก่ เป็นต้น
>>>> เพราะเมื่อโรงเรียนย้ายที่ตั้งใหม่
ระยะการเดินทางไกลถ้าเป็นอาหารปรุง
เสร็จแล้ว จะไม่ทันฉันเพล และอาหารแห้ง

สามารถเก็บไว้จัดภัตาหารเพลถวายภิกษุสามเณรในวันต่อ
ไปได้ เพราะสถานที่ ที่ย้ายโรงเรียนไป
เป็นทุ่งนาห่าง ไกลตลาด
ที่จะจัดซื้อภัตตาหารถวายมื้อเพลได้ในปัจุบัน มีพระภิกษุ
สามเณรกว่า 90รูป
โยมที่ถวายอาหารแห้งได้
มีโอกาสทำบุญกับ พระเณร เป็นจำนวนมาก

*******************************************************************************************
บุญกุศลใดที่เกิดจากข้าพเ! จ้าในการส่งเมล์นี้ ทุกนาที ทุกวินาที
ขอจงให้ข้าพเจ้าสว่างไสวด้วย ลาภยศ สรรเสริญ ปัญญาและบุญบารมี
อย่างท่วมท้น เจ้ากรรม นายเวร อโหสิกรรมให้ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรือง

และขอยกบุญกุศลนี้แด่นายเวรที่มาเบียดเบียนข้าพเจ้า



1/06/2010

โทษของการเป็นคนลวงโลก




๑) ทุกข์ทางใจ

จิต ที่เป็น ปกติสุขไม่อาจคิดพูดโกหกมดเท็จ การจะโกหกมดเท็จได้ต้องใช้จิตที่เป็นทุกข์เท่านั้น เพราะไหนจะต้องพยายามแต่งเรื่องขึ้นใหม่ ไหนจะต้องออกแรงบิดความจริงอันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ด้วยปากอันเล็กกระจ้อยร่อย แม้แต่การกลับซ้ายให้กลายเป็นขวาเพียงนิดเดียว ก็อาจพาคนหลงตามคำหลอกของเราไปลงเหวได้แล้ว ทุกคำมุสาที่นึกว่าเล็กน้อย จึงอาจก่อมหันตภัยใหญ่หลวงเกินกว่าจะคาดเดาได้

การรู้ตัวว่าโดนหลอก เป็นความทุกข์ของผู้ถูกหลอก ถ้าเราเป็นคนหลอกเขา ใจเราจะเป็นสุขไปได้อย่างไร การสังเกตเข้ามาในตนเองจะทำให้เห็นทุกข์เป็นขณะ ๆ อย่างชัดเจน

ทุกข์ เริ่มต้นตั้งแต่เมื่ออยากหลอกลวงให้คนอื่นหลงเชื่อ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะรู้สึกถึงความฝืดฝืน นั่นเพราะธรรมชาติของความจริงมีเหตุมีผล การอยากโกหกก็คือการอยากทำลายเหตุผล ซึ่งค้านกันกับสำนึกแบบมนุษย์ที่ต้องการเหตุผลตามจริง

ทุกข์จะทวีตัว ขึ้นเมื่อตัดสินใจหลอกลวงให้คนอื่นหลงเชื่อ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเหมือนใจถูกคลุมไว้ด้วยฝ้าหมอกมายา นั่นเพราะการตั้งใจแต่งเรื่องหลอกคนอื่น ก็คือการพลิกเอาตัวเองออกจากความจริงอันสว่างไปสู่ความเท็จอันมืด จึงไม่มีทางที่ใจจะสดใสโปร่งโล่งไปได้

ทุกข์จะทวีตัวขึ้นอีกเมื่อ พยายามคิดคำลวงให้คนอื่นหลงเชื่อ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นคล้ายมีตัวเราที่รูปร่างหน้าตาแตกต่างไปจากเดิมกำลังดิ้นพล่าน พยายามจินตนาการจับต้นชนปลายความจริงกับความเท็จให้ต่อกันติด ที่มโนภาพของตัวเราแตกต่างจากเดิม ราวกับแปลกไปไม่ใช่ตัวเรา ก็เพราะขณะจิตนั้นเราไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ตัวจริงตามที่กำลังเป็น

ทุกข์ จะทวีตัวขึ้นถึงขีดสุดเมื่อต้องฝืนขยับปากหลอกลวงคนอื่นให้หลงเชื่อ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นการออกแรงเค้นคำ แตกต่างจากเมื่อพูดความจริงอย่างสบายอารมณ์ นั่นเพราะเรารู้ว่าความจริงเป็นเส้นตรง แต่จะอาศัยปากของเราเข้าไปดัดเส้นตรงนั้นให้เบี้ยวบิดผิดรูป แน่นอนว่าจิตใจและปากคอของเราย่อมเบี้ยวบิดผิดตามไปด้วย ไม่อาจตรงอยู่ได้

ทุกข์ จะไม่จบโดยง่ายแม้เมื่อหลอกลวงให้คนอื่นหลงเชื่อได้สำเร็จ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเป็นความรู้สึกเหมือนมีสองภาค ภาคหนึ่งรู้ความจริง อีกภาคหนึ่งรู้ว่ามีความลวงซ้อนความจริงขึ้นมา อีกทั้งต้องคอยปกปิดให้ดี ยิ่งภาคแห่งความลวงหนาขึ้นกลบภาคแห่งความจริงมากขึ้นเท่าใด เราจะยิ่งรู้สึกคล้ายเกิดหน้ากากปิดบังหน้าตาของตนมากขึ้นเท่านั้น จนวันหนึ่งส่องกระจกเงาแล้วอาจรู้สึกครึ่งจริงครึ่งฝัน ถามตัวเองว่านี่ใบหน้าของเราแน่หรือ?

ใน ทางปฏิบัติแล้ว การหลอกคนได้มักทำให้ภูมิใจ เพราะหลงนึกว่าตัวเองฉลาด และเห็นว่าคนอื่นโง่ ดังนั้น ทุกข์ที่เกิดจากการฝึกเป็นนักแต่งเรื่องจึงไม่ปรากฏชัดในช่วงต้นวัย ต่อเมื่อหลอกคนอื่นจนกระทั่งจิตทำงานเป็นอัตโนมัติ คล้ายหลอกได้แม้กระทั่งตัวเองให้เชื่ออะไรผิด ๆ หลงตัดสินใจโง่ ๆ และด้วยเหตุนี้เอง เราจึงตระหนักว่าที่สุดของการเป็นคนลวงโลก ก็คือการพาตัวเองไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ร้อนจากการไม่รู้จักตนเองเสียแล้ว





๒) การสั่งสมบาป

เมื่อ ทราบแล้วว่าความมืดเป็นเครื่องหมายของบาป เราก็สามารถสำรวจใจตนเองแล้วทราบได้ว่าการโกหกเป็นบาป เพราะไม่มีการโกหกครั้งใดที่ทำให้จิตของเราสว่างขึ้น มีแต่จะหม่นหมองลง กับทั้งไม่มีแก่ใจคิดอะไรในทางดี ในทางที่เจริญเอาเลย

แรงผลักดันให้ โกหกได้เต็มปากเต็มคำคือ โลภะ โลภะต้องชนะความอยากสบายใจ จึงขับให้เราก่อบาปด้วยการหลอกลวง แท้จริงมนุษย์เราต้องการความสบายใจเหนือสิ่งอื่นใด แต่เพราะอยากได้สิ่งที่ต้องการมากเกินไป หรือจำต้องเห็นแก่สิ่งอื่นยิ่งไปกว่าใจตน จึงยอมทำลายความสบายใจด้วยการพูดคำเท็จ

ที่น่ากลัวก็คือบาปสามารถ สั่งสมตัวได้ นั่นหมายความว่ายิ่งโกหกมากขึ้นเท่าไร ใจก็ยิ่งอึดอัดทรมานมากขึ้นเท่านั้น มองไปทางไหนความจริงทั้งหลายดูน่าบิดเบือนให้ผิดจากเดิมไปหมด

แม้ ขยับปากเอาตัวรอดหรือสร้างภาพให้ดูดี เช่น คนที่บ้านถามว่าไปไหนมา ความจริงเราไปสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนฝูง แต่เราไพล่พูดโกหกว่าไปช่วยงานสำคัญที่นั่นที่นี่ ปากของเราก็ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องดัดจิตให้เบี้ยวบิดผิดรูปแล้ว เพียงคำลวงเล็ก ๆ ก็จุดชนวนความคิดไม่ตรงไปตรงมาได้ ต่อไปเมื่อต้องตอบแบบเสียภาพลักษณ์นิดเดียว ระบบความคิดของเราจะพยายามสร้างคำพูดไปในทางรักษาภาพทันที โดยไม่คำนึงว่าภาพดี ๆ จะมีความจริงปนอยู่ด้วยมากน้อยเพียงใด

ความ คิดในทางปั้นน้ำเป็นตัวจะลดความฉลาดในการอธิบายให้คนเข้าใจความจริง ทั้งที่พูดความจริงโดยไม่ต้องให้คนฟังเสียความรู้สึกก็ได้ แต่เพราะมัวไปเชื่ออยู่ว่าขืนพูดความจริงก็พังเท่านั้น เลยเท่ากับปิดโอกาสฝึกใจให้ซื่อ ฝึกคิดให้ฉลาด น้อยคนจึงสามารถพูดแบบให้เกิดเรื่องดี ๆ โดยไม่ต้องแต่งเรื่องหลอก ๆ ขึ้นมา

ฉะนั้น เพียงไม่ตั้งใจไว้ก่อนว่าจะเว้นขาดจากการโกหก ก็นับว่ามีโทษแล้ว เพราะเมื่อถูกตั้งเงื่อนไขให้เกิดโลภะอย่างแรงกล้า ความอยากสบายใจก็ลดระดับแทบไม่เหลือ ยังผลให้สติพร่าเลือนลง เปิดช่องให้โลภะเข้าครอบงำจนโง่เขลา หลงนึกว่าบาปแห่งการโกหกเป็นสิ่งสมควรทำยิ่งกว่าบุญแห่งการพูดความจริงให้ เกิดประโยชน์




๓) ความเป็นอยู่ที่เลวร้าย

ไม่ มีความ รู้สึกอึดอัดอันใดย่ำแย่ไปกว่าความรู้สึกอึดอัดอันเกิดจากการโกหก เพราะบาปข้ออื่นยังทำลงไปแบบมีเหตุผลให้โล่งใจกันได้ เช่น เราอาจฆ่าโจรโฉดตามหน้าที่ของตำรวจ เราอาจโกงใครเพราะเขาโกงก่อน เราอาจกินเหล้าเพื่อไม่ให้คนรินเสียใจ แต่ถ้าต้องฝืนใจโกหกครั้งหนึ่ง เราก็ต้องฝืนทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับความจริงอันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่หนึ่งครั้ง เมื่อสั่งสมมากแล้ว ในที่สุดทั้งอกทั้งใจก็ เต็มแน่นไปด้วยความอึดอัดครัดเครียด และสับสนอยู่กับตนเองว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ อันไหนตื่นอันไหนฝัน เห็นความจริงเป็นสิ่งไม่น่าเชื่อ กับทั้งมีนิสัยดื้อด้าน ไม่ยอมรับความจริงอย่างน่าสลดสังเวชได้

เมื่อบาปจากการการโกหกถูก สั่งสมมากแล้ว คนโกหกย่อมเลื่อนฐานะเป็นคนลวงโลก ดูเผิน ๆ เหมือนโกหกได้หน้าตาย คิดแต่งเรื่องได้เป็นตุเป็นตะในเวลาอันรวดเร็ว หลอกได้แม้กระทั่งเครื่องจับเท็จ ซึ่งสะท้อนว่าสามารถสะกดจิตตัวเองให้สำคัญไปว่ากำลังพูดเรื่องจริงอย่างเป็น ธรรมชาติ แต่นั่นแหละคือความผิดธรรมชาติอย่างใหญ่หลวง จนก่อให้เกิดกระแสในตัวที่น่าระแวง ไม่ชวนให้อยากคบ อยู่ใกล้แล้วอึดอัด เหมือนอีกาที่ซื่อกับใครไม่เป็น หรือเหมือนลิงที่พร้อมจะล้อเลียนเราทั้งต่อหน้าและลับหลัง

การโกหก หลอกลวงแต่ละครั้งคือการบิดเบือนความจริง ซึ่งก็มีผลสะท้อนให้ความจริงของเราบิดเบี้ยวไปด้วย อาจจะในรูปของการโดนใส่ไคล้ หรืออาจจะในรูปของการถูกเข้าใจผิด คิดให้ดีก็สมกันแล้ว ไม่มีทางที่เราจะบังคับใครต่อใครให้พูดถึงเราตรงตามความจริงไปทั้งหมด เท่า ๆ กับที่เราเองก็ไม่ได้พูดถึงตัวเองตรงตามจริงทุกครั้ง เช่นที่เป็นกันมากคือโกหกเพื่อรักษาหน้า ไม่ยอมรับผิด เป็นต้น

จิต ของคนลวงโลกย่อมมีความบิดเบี้ยว กลับกลอกไปมา แม้แต่เจ้าตัวเองก็ควบคุมไม่ได้ว่าจะให้ชอบอะไรหรือรักใคร คล้ายตกอยู่ในห้วงฝันหลอนที่โยกเยกไหวเอนอยู่เกือบตลอดเวลา

จิต ที่ บิดเบี้ยวย่อมเหมาะกับภพใหม่ที่เบี้ยวบิด เต็มไปด้วยความหลอกหลอนให้ผิดหวัง วันนี้นึกว่าดี พรุ่งนี้กลายเป็นร้ายให้ช้ำใจ น่าอึดอัดระอา ถ้ายังมีวาสนาพอจะเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ ก็ย่อมตกอยู่ในภาวะผันผวนไม่แน่นอนอย่างรุนแรง

หาก ตายเยี่ยงคนลวงโลก ผู้ยังไม่อิ่มไม่พอกับการปั้นน้ำเป็นตัว แต่ยังพอมีบุญพยุงไม่ให้ร่วงหล่นถึงนรก ก็อาจไปเสวยภพของพวกหาสัจจะได้ยากในระดับเดรัจฉานภูมิ เช่น อีกา หรือลิงป่าบางจำพวก เป็นต้น

แต่หาก ตาย เยี่ยงคนลวงโลกที่ดีแต่เยาะ หยัน เห็นคนอื่นโง่กว่าตนเสมอ ก็จัดว่ามีความเหมาะกับสภาพความเป็นอยู่ที่ถูกกดขี่อย่างน่าสะพรึงกลัว ดังเช่นนรกภูมิสถานเดียว!


"อริยทรัพย์"....ทรัพย์สินที่นำติดตัวไปได้เมื่อตายไปแล้ว





ทรัพย์สินที่นำติดตัวไปได้เมื่อตายไปแล้ว

อริยทรัพย์ ลองอ่านดู ค่อยๆอ่านแล้วพิจารณา อ่านแล้วดี ส่งต่อได้บุญมาก(ธรรมทาน)


วันนี้เป็นวันพระตามปฏิทินทางจันทรคติที่เวียนมาอีกครั้งทุกๆ ๖ วัน ๗ วัน หรือ ๘ วัน เป็นธรรมเนียมของชาวพุทธ เมื่อถึงวันพระก็จะเข้าวัดกันเพื่อประกอบกิจทางศาสนา มีการบูชาพระรัตนตรัย ให้ทาน บริจาคข้าวของต่างๆ สมาทานศีลด้วยความมีหิริโอตตัปปะ ความอายและเกรงกลัวบาป ฟังเทศน์ฟังธรรมเพื่อเสริมสติปัญญา ความรู้ ความฉลาด เป็นการสะสมอริยทรัพย์หรือทรัพย์ภายใน ด้วยการสละทรัพย์ภายนอก มีเงินทองข้าวของทรัพย์สมบัติต่างๆ บริจาคถวายทานให้กับพระสงฆ์องค์เจ้า เป็นการเอาทรัพย์ภายนอกแลกทรัพย์ภายใน ทรัพย์ภายในก็คือคุณธรรมความดีทั้งหลาย

การไปวัดจึงเหมือนกับการไปธนาคารเพื่อไปทำธุรกรรมการเงิน ถ้าจะเดินทางไปต่างประเทศก็ต้องแลกเงินเป็นสกุลต่างๆ ไปประเทศอังกฤษก็แลกเงินสกุลปอนด์ของอังกฤษ เพราะเงินไทยใช้ได้แต่ในประเทศไทยเท่านั้น เวลาไปต่างประเทศก็ต้องใช้เงินสกุลของประเทศนั้นๆ ฉันใด ภพชาตินี้ก็เป็นเหมือนประเทศหนึ่ง เมื่อตายไปก็ต้องไปอีกภพชาติหนึ่ง อีกประเทศหนึ่ง สิ่งที่จะเอาติดตัวไปได้ก็คือทรัพย์ภายในที่เรียกว่าอริยทรัพย์ เป็นเหมือนเงินสกุลของประเทศที่เราจะไป ส่วนทรัพย์ภายนอก เช่นทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ไม่สามารถเอาติดตัวไปได้แม้แต่บาทเดียว สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้

คนฉลาดจึงเอาทรัพย์ภายนอกมาแลกเป็นทรัพย์ภายในไว้ เอาทรัพย์ภายนอกที่มีมาฝากไว้ในธนาคารบุญ แล้วแลกเป็นเงินสกุลต่างๆ เวลาเดินทางไปภพหน้าชาติหน้า ก็จะมีทรัพย์ติดตัวไป เป็นอริยทรัพย์หรือทรัพย์ภายใน เป็นทรัพย์ที่ไม่มีใครแย่งหรือขโมยไปได้ ไม่เหมือนทรัพย์ภายนอก โดนขโมยไป ถูกโกงไป หรือถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองยึดไปก็ได้ แต่ทรัพย์ภายในหรืออริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ไม่มีใครแย่งชิงไปได้ เป็นทรัพย์ของเราโดยแท้ เป็นทรัพย์ที่ติดตัวไปกับเรา เมื่อเราตายไปแล้วเราต้องเดินทางต่อไป ถ้ามีทรัพย์ภายในเราก็จะไปสู่สุคติ ไปสู่ที่ที่มีแต่ความสุขความเจริญ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยบุคคล เป็นมนุษย์ ถ้าไม่มีอริยทรัพย์ ตายไปก็จะต้องไปสู่อบาย สู่ทุคติเท่านั้น เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก เพราะขาดอริยทรัพย์ที่จะฉุดรั้งไว้ไม่ให้ไปสู่ที่ต่ำ นักปราชญ์คนฉลาด ผู้รู้จักเหตุรู้จักผล เมื่อได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าแล้วย่อมเกิดศรัทธา ย่อมน้อมเอาสิ่งต่างๆที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนมาประพฤติปฏิบัติกับตน ดังที่ท่านทั้งหลายได้มากระทำกันในวันนี้ เป็นการมาสะสมทรัพย์ภายในหรืออริยทรัพย์

อริยทรัพย์ มี ๗ ประการด้วยกัน คือ ๑. ศรัทธา ความเชื่อ ๒. ศีล ความประพฤติดีทางกายทางวาจา ๓. หิริ ความอายบาป ๔. โอตตัปปะ ความกลัวบาป ๕. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้เรียนรู้มาก ๖. จาคะ ๗. ปัญญา

๑. ศรัทธา คือ ความเชื่อ เชื่อในพระพุทธเจ้า เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้จริงเห็นจริง รู้ในสิ่งต่างๆที่เราไม่รู้กัน เช่นรู้เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ รู้เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด รู้เรื่องบาป รู้เรื่องบุญ รู้เรื่องคุณ รู้เรื่องโทษ รู้เรื่องมรรค ผล นิพพาน คือสิ่งที่ปุถุชนคนธรรมดาสามัญผู้เต็มไปด้วยอวิชชา ยังไม่สามารถล่วงรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าผู้ทรงประกอบด้วยสติปัญญาความรู้ความฉลาด วิริยะความอุตสาหะพากเพียร ขันติความอดทน สะสมบุญบารมีมาเป็นกัปเป็นกัลป์ จนบรรลุเป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา เห็นสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในไตรภพ ในโลกทั้ง ๓ นี้ คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ โลกของการเวียนว่ายตายเกิด ผู้มีดวงตาเห็นธรรมสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ พวกเรายังมืดบอด ยังไม่รู้ไม่เห็น แต่มีแววแห่งความฉลาด ตรงที่ยอมรับว่าเรายังโง่อยู่ และยอมรับว่าพระพุทธเจ้าฉลาดกว่าเรา เมื่อพระพุทธองค์เป็นผู้มีความฉลาดกว่าเรา รู้มากกว่าเรา เราจึงเชื่อพระพุทธเจ้า คือเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เรื่องที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนมีอยู่ ๓ ข้อใหญ่ๆ คือ ๑. กรรม ๒. วิบาก ๓. สัตว์โลกมีกรรมเป็นของๆตน

๑. เชื่อว่ากรรม คือการกระทำทาง กาย วาจา ใจ เป็นเหตุที่นำมาซึ่งความสุขหรือความทุกข์ ความเจริญหรือความเสื่อม ภพชาติต่างๆเป็นผลที่เกิดมาจากกรรม เช่นเชื่อว่าเหตุที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะในอดีตเคยทำความดีรักษาศีลไว้ จึงทำให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้เป็นต้น

๒. เชื่อวิบากผลของกรรม เชื่อว่าเมื่อทำกรรมไปแล้วไม่ว่าดีหรือชั่ว จะต้องได้รับผลของกรรมนั้น เช่นการได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเดรัจฉาน เป็นสุนัข เป็นแมว เป็นวิบาก เป็นผลที่เกิดจากการกระทำในอดีต ได้ทำกรรมมาต่างกันจึงทำให้มาเกิดต่างกันไป มีความแตกต่างไม่เท่าเทียมกัน ทางด้านเพศ ทางด้านรูปร่างหน้าตา ทางด้านความรู้ความฉลาด ทางด้านฐานะการเงิน เหล่านี้เรียกว่าวิบาก คือผลที่เกิดจากการกระทำในอดีต เชื่อว่าเราเป็นอยู่อย่างนี้ก็เพราะทำมาแค่นี้ สะสมบุญบารมีมาแค่นี้ ทำมาแค่นี้ก็ได้แค่นี้ ถ้าอยากได้มากกว่านี้ก็ต้องสะสมบุญบารมีให้มากขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงที่สุดของ บุญบารมี ก็จะบรรลุถึง มรรค ผล นิพพาน การสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เป็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก

๓. เชื่อว่าสัตว์โลกทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆตน เมื่อทำกรรมแล้ววิบากย่อมตามมาเหมือนเงาตามตัว เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีใครช่วยใครให้พ้นวิบากกรรมของตนไปได้ หรือสร้างบุญกุศลให้แก่กันได้ เมื่อถึงเวลาที่ผลบุญจะเกิดขึ้นกับผู้หนึ่งผู้ใด ก็ไม่มีใครไปห้ามได้ เช่นเดียวกับผลของบาปกรรม เมื่อถึงเวลาที่จะเกิดขึ้น ก็ไม่มีใครไปยับยั้งได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือช่วยเท่าที่จะช่วยได้ ถ้าเกิดขึ้นกับตัวเรา ก็ต้องทำใจให้นิ่งเฉยเป็นอุเบกขา ยอมรับความจริงว่า สัตว์โลกทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆตน จักทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ไม่มีใครยับยั้งผลของกรรมได้ เมื่อถึงเวลาก็ต้องรับผลของกรรมกันทุกๆคน

๒. ศีล ความประพฤติดีทางกายทางวาจา เมื่อมีศรัทธาแล้วเราก็จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน โดยเห็นว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราก็จะทำแต่สิ่งที่ดีและหลีกเลี่ยงการทำบาป ด้วยการรักษาศีลตามกำลังศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา ตั้งแต่ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ จนถึง ศีล ๒๒๗ ศีลคือความปกติทางกายและทางวาจา ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ไม่สร้างความทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยการละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดประเวณี ละเว้นจากการพูดปดมดเท็จ ละเว้นจากการเสพสุรายาเมา

๓. หิริ ความอายบาป ๔. โอตตัปปะ ความกลัวบาป เมื่อเห็นว่าการทำบาปเป็นสิ่งไม่ดี จึงละเว้น ด้วยหิริ ความอายบาป และโอตตัปปะ ความกลัวบาป ทุกคนมีความอายกัน แต่สิ่งที่น่าอายกลับไม่อาย กลับไปอายในสิ่งที่ไม่น่าอาย เช่นไปอายในความยากจน ในรูปร่างหน้าตาที่ไม่สวยงาม ในความโง่เขลาเบาปัญญาของตน สิ่งที่น่าอายคืออะไร ก็คือการกระทำความชั่วทั้งหลาย เช่น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การลักทรัพย์ การประพฤติผิดประเวณี การพูดปดมดเท็จ การเสพสุรายาเมา เพราะเมื่อทำบาปไปแล้วก็เหมือนกับเอาไฟมาเผาตัวเองและผู้อื่น สร้างความทุกข์ทรมานให้กับตนและผู้อื่น เป็นสิ่งที่น่าอับอาย น่าขยะแขยงอย่างยิ่ง

เช่นเดียวกับความกลัว สิ่งที่น่ากลัวกลับไม่กลัว สิ่งที่ไม่น่ากลัวกลับไปกลัว เช่นกลัวความแก่ กลัวความเจ็บ กลัวความตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัวเลย เพราะเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดกับทุกๆคน เป็นธรรมดา เป็นปกติของธาตุขันธ์ ของร่างกาย เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ผู้ที่กลัวคือผู้ที่มีความสำคัญมั่นหมาย ไปยึด ไปติด ว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของๆเรา เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็คิดว่าเราแก่ เราเจ็บ เราตาย แทนที่จะคิดว่าร่างกายแก่ ร่างกายเจ็บ ร่างกายตาย ก็กลับไปหลงคิดว่าร่างกายนี้แหละคือเรา เมื่อจิตติดอยู่กับร่างกาย ก็เลยคิดว่าจิตเป็นกาย กายเป็นอะไรจิตก็เป็นไปด้วย ก็เลยเกิดความกลัวขึ้นมา นี่คือความหลง

ถ้าได้ศึกษาได้ปฏิบัติธรรมแล้วจะสามารถแยกแยะกายออกจากจิตได้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากายก็เป็นอย่างหนึ่ง จิตก็เป็นอย่างหนึ่ง กายนี้เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาจากอาหารที่รับประทานเข้าไป แล้วกลายเป็นอาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น นี่คือเรื่องของร่างกาย เป็นธาตุขันธ์ล้วนๆ มาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่เป็นเพราะขาดปัญญาเลยทำให้จิตถูกอวิชชาครอบงำ ไปยึด ไปติด ไปหลงว่าร่างกายนี้เป็นจิต จิตเป็นร่างกาย เมื่อร่างกายเป็นอะไรไป ก็เกิดกลัวขึ้นมา กลัวความแก่ กลัวความเจ็บ กลัวความตาย สำหรับผู้ที่ได้ศึกษาได้ปฏิบัติธรรมอย่างถ่องแท้แล้ว อย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกทั้งหลาย จะไม่กลัว ความแก่ เจ็บ ตาย เลยแม้แต่น้อย ท่านตายได้ในทุกอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอน ด้วยความเป็นปกติสุข ไม่มีความหวั่นไหว เพราะท่านมีปัญญา มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ท่านปล่อยวาง ไม่ไปยึดไม่ไปติดในธาตุขันธ์ ถ้ายังดีอยู่ก็เอาไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์ เหมือนเสื้อผ้าที่ยังดีอยู่ก็ใส่ไป ถ้าขาดก็ทิ้งไปฉันใด ร่างกายก็ฉันนั้นเมื่อถึงเวลาแตกดับก็ทิ้งไป

สิ่งที่น่ากลัวคืออะไร ก็คือบาปกรรม การกระทำความชั่วทั้งหลาย เพราะจะนำมาซึ่งความทุกข์ความหายนะ เริ่มตั้งแต่ในปัจจุบัน เมื่อทำความชั่วแล้วจิตจะมีความร้อน มีความกังวล มีความหวาดวิตก เกิดความกลัวขึ้นมา กลัวจะถูกจับได้ว่าทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม เมื่อตายไปก็ต้องไปใช้กรรมในอบายต่อไป ไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง เพราะขาดหิริ ความอาย และโอตตัปปะ ความกลัวบาป ขาดศรัทธา ไม่เชื่อในเรื่องบาปกรรม ก็เลยเกิดความประมาทขึ้นมา คิดว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเรื่องแต่งขึ้นมา เพื่อหลอกให้ทำความดีโดยไม่มีผลดีอะไรตามมา ถ้าคิดเช่นนี้ จะเป็นคนที่สร้างความทุกข์อย่างแสนสาหัสให้กับตนเอง เพราะจะไม่มีหิริโอตตัปปะ แล้วจะทำบาปไปไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ก็จะมีหิริโอตตัปปะ ความอายและความกลัวบาป จะสะสมบุญแบบไม่กลัวจน ไม่กลัวว่าจะเสียเงิน เสียทอง เสียเวลา เพราะบุญกุศลที่ได้นั้น มีคุณค่ามากยิ่งกว่าเงินทอง ยิ่งกว่าเวลาที่เสียไป เพราะได้อริยทรัพย์นั่นเอง

๕. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้เรียนรู้มาก การได้ยินได้ฟังธรรมอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เป็นผู้คงแก่เรียน เป็นผู้รู้มาก เป็นผู้ศึกษามาก การที่ได้ศึกษามากต้องอาศัยการได้ยินได้ฟังจากผู้ที่มีความรู้ โดยเฉพาะรู้ทางธรรม เพราะธรรมเป็นแสงสว่างนำชีวิต ให้รู้จัก บาป บุญ คุณ โทษ กรรม และ วิบาก ถ้าได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยๆ ต่อไปจะเป็นผู้ที่มีความรู้มาก เป็นพหูสูต เป็นพาหุสัจจะ คือเป็นผู้ได้เรียนรู้มาก เป็นอริยทรัพย์

๖. จาคะ การเสียสละ เสียสละประโยชน์สุขส่วนตนให้แก่ผู้อื่น เป็นการลดละความเห็นแก่ตัว ความหลงในตัวตน โดยเห็นว่าสมบัติเงินทองที่มีอยู่เป็นสมบัติผลัดกันชม ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องพลัดพรากจากกัน ไม่ใช่ของๆตน ทรัพย์สมบัติที่แท้จริงต้องเป็นอริยทรัพย์ ที่เกิดจากจาคะ การเสียสละ แจกจ่าย แบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น ถ้ามีทรัพย์ที่เหลือใช้แล้วไม่เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยการบริจาคแบ่งปันให้กับผู้อื่น ก็จะไม่มีอริยทรัพย์ เหมือนกับการไม่ได้แลกเงินตราต่างประเทศไว้ใช้เวลาเดินทางไปต่างประเทศ จะมีแต่เงินที่ไม่สามารถเอาติดตัวไปใช้ได้ ไปเกิดภพหน้าชาติหน้า ก็จะมีแต่ความอดอยากขาดแคลน ในปัจจุบันก็จะถูกอำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลงคุกคาม สร้างความร้อนรนให้แก่จิตใจ หาความร่มเย็นเป็นสุขไม่ได้

๗. ปัญญา ความรู้ความฉลาด คือรู้ความจริง รู้อะไรคือเหตุ รู้อะไรคือผล รู้อะไรคือบาป รู้อะไรคือบุญ รู้อะไรคือคุณ รู้อะไรคือโทษ รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้ารู้แล้วย่อมทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม ละเว้นจากการประพฤติที่ไม่ดีไม่งาม นำความสุขมาสู่ตน บาปกรรมไม่ทำ ทำแต่บุญอย่างเดียว เหมือนกับคนที่ไปธนาคาร ไม่กู้หนี้ยืมสิน มีแต่ฝากอย่างเดียว หนี้สินมีเท่าไรก็ชดใช้หมด เมื่อหมดหนี้สินแล้วก็สบายใจ ผู้ที่มีหนี้สินรุงรังมีแต่ความทุกข์ใจ ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ก็คิดหนีหนี้ด้วยการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้ฆ่าที่ตัวต้นเหตุของการมีหนี้สิน คือตัวฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ตัวโลภ ตัวอยากต่างหาก ที่ทำให้มีหนี้มีสิน ต้องฆ่าด้วยการประหยัด มักน้อย สันโดษ

ถ้ามีการประหยัด มักน้อย สันโดษแล้ว ก็จะใช้จ่ายอยู่ในกรอบของรายได้ มีเงินมีทองเท่าไรก็จะมีพอใช้ เพราะได้ควบคุมตัณหา ความอยากความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่ให้ออกมาเพ่นพ่าน ถ้าไม่แก้ตรงนี้ ไม่ว่าจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกกี่ภพกี่ชาติ ก็จะต้องมีหนี้สินอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้สินไม่ได้ ก็ต้องฆ่าตัวตายไปเรื่อยๆเพราะติดเป็นนิสัย จึงต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือการเอาชนะความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความอยาก ความโลภทั้งหลายด้วยการประหยัดมัธยัสถ์ และความมักน้อยสันโดษ

เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขทั้งในปัจจุบันและในภพหน้าชาติหน้าจึงควรสะสม อริยทรัพย์ทั้ง ๗ ประการนี้ คือ ๑. ศรัทธา ความเชื่อ ๒. ศีล ความประพฤติดีทางกายทางวาจา ๓. หิริ ความอายบาป ๔. โอตตัปปะ ความกลัวบาป ๕. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้เรียนรู้มาก ๖. จาคะ ๗. ปัญญา การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้

โดย : คนดอยคอยรัก

ที่มา เอ็มไทย