10/03/2013

คติธรรม

สุภาษิต

บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท ในการทำบุญ. (อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ ปุญฺญกิริยาสุ ปณฺฑิตา)

พระโอวาทสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

พระโอวาทสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวัฒฑโน)...สันติสุขของสังคมและประเทศชาติ จะเกิดมีได้ก็ด้วยความสามัคคีพร้อมเพรียงของคนในสังคมและในชาติ โดยต่างมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ต่อกัน ทั้งนี้ก็โดยมีความสงบสุขของชาติบ้านเมืองเป็นเป้าหมาย และทั้งนี้ก็โดยที่ทุกคนต้องพยายามกระทำสร้างสรรค์ด้วยความสามัคคีอย่างเต็มกำลัง นอกจากตนเองของทุกคนแล้ว ไม่มีใครจะมาช่วยได้ ดังพระพุทธสุภาษิตที่ว่า สมคฺคานํ ตโป สุโข ความเพียรของผู้พร้อมเพรียงกันให้เกิดสุข — with พร พอเพียง and ทีฆายุโก โหตุ สังฆปริณายโก. by: ชินกร สังสีมา

เล่าเรื่องของหลวงปู่นาค(วัดระฆัง)

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยานเถระ) เล่าเรื่องของหลวงปู่นาค(วัดระฆัง) เขียนไว้อีกข้อเดียว คือเรื่องดูใจเวลาปลุกพระ นี่เรื่องมันเกี่ยวกันกับอาตมา ต้องขอประทานโทษบรรดาท่านผู้อ่านหรือท่านผู้ฟัง เมื่อฟังแล้วอ่านแล้วก็อย่าคิดว่าอาตมาเป็นผู้วิเศษ อย่าคิดยังงั้นนะ จงคิดเสียว่าอาตมาก็เป็นเถรหัวล้านธรรมดาๆ ไม่มีอะไรดีกว่าท่านผู้ฟัง เกิดแล้วก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย กินแล้วก็ขี้ ตื่นแล้วก็หลับ ธรรมดา ปวดเมื่อยไม่สบาย ปวดฟันตาฟ้าหูฟางเหมือนกัน พูดจาเอะอะโวยวายหยาบคายก็ได้ พูดนิ่มนวลก็ได้ ทำท่าเป็นผู้ดีก็ได้ ทำท่าเป็นสิงห์หน้าพลับพลาก็ได้ ทำเป็นหมาเห่าชาวบ้านก็ได้ เป็นทุกอย่าง ไอ้ที่ทำอย่างนั้น เพราะใจมันเป็นอย่างนั้น ไม่เหมือนหลวงพ่อนาค ท่านดีจริงๆ เลยยอมรับนับถือท่าน มาครั้งหนึ่ง ที่วัดชิโนรสาราม ธนบุรี ตอนนั้น สมัยนั้น เจ้าคุณสุวรรณเวที(ทองดี) อดีตเป็นพระของวัดระฆังมาเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็ทำพิธีพุทธาภิเศก ปลุกพระเรียกว่าบวชพระพุทธเจ้า พระเครื่องนี่เขาทำรูปเปรียบพระพุทธเจ้าบ้าง บางทีก็ทำรูปเปรียบของพระสงฆ์ แต่วันนั้นทำรูปเปรียบเฉพาะพระพุทธเจ้า ก็เลยเรียกว่าไปบวชพระพุทธเจ้ากัน ปลุก ไม่ใช่บวชกระมัง ท่านกำลังหลับ ไปปลุกให้ตื่น ท่านมีหน้าที่ปลุกเขานิมนต์มา 9 องค์ พระอะไรบ้างก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่รู้จักมีอยู่หลายองค์ แต่พูดถึงอยู่ 2 องค์ คือ หลวงพ่อนาค กับพระครูธรรมาภิราม พระแขนสั้นแขนยาวนครปฐม นอกนั้นที่รู้จักก็มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกัน ในสมัยนี้ก็โด่งดัง สมัยนั้นก็โด่งดังอีก 7 องค์ แต่ไม่พูดถึงหรอก คือพูดถึงไม่ได้ เดี๋ยวจะถูกด่า เวลาท่านปลุกพระ สำหรับพระครูธรรมาภิราม รู้จักอาตมาดี อาตมาเรียกหลวงน้า พอเจอะท่านเข้าก็คุยตามแบบฉบับ ทีแรกก็ทำท่าเป็นพระติ๋มๆ เพราะไม่เคยรู้จักใคร พออาตมาเข้าไปก็เลยออกท่าตามแบบฉบับ ออกท่าอะไรทราบไหม ท่าลิง ก็ไปยั่วท่านด้วยอาการต่างๆ ท่านก็ทำโน่นทำนี่ ชาวบ้านเขาก็เลยรู้สึกว่าท่านจะล่อกแล่กไปหน่อย ก็เลยบอกว่าหลวงน้า ไอ้แก้วน้ำน่ะ มันอยู่ไกลผม หลวงน้าช่วยหยิบมาให้ทีเถอะ ท่านบอก เฮ้ย แขนกูหยิบไม่ถึงนี่หว่า ก็เลยบอก เอ๊อะ พระจะปลุกพระนี่ เอาพระที่ไม่มีฤทธิ์มามันก็เสีย เสียของเปลืองที่ ไม่เอา ถ้าหยิบแก้วน้ำไม่ได้ก็นิมนต์กลับวัด ไม่มีประโยชน์ พระแบบนี้ ความจริงตอนนั้นพระคณาจารย์หลายองค์ก็นั่งอยู่ด้วย แต่เราไม่เกี่ยว เราคุยกับน้าชาย ท่านบอกไอ้นี่มันดูผิดคนนี่หว่า หนอยแน่มันดูถูกนี่หว่า หาว่ากูหยิบไม่ได้เรอะ ก็ตอบว่าไม่ได้ดูถูก แต่ว่าหยิบไม่ถึง นิมนต์กลับวัดเลย เอามารกที่ พระประเภทนี้ เสียศักดิ์ศรีครูบาอาจารย์ นี่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานนะ แล้วก็เป็นหลานชายหลวงพ่อปานด้วยนะ ไม่ใช่ลูกศิษย์อย่างเดียว มองหน้าเป๋ง เออ มึงดูถูกกู กูก็เอาได้วะ เรื่องอะไร ท่านก็ยื่นแขนซ้ายออกไปมันก็ไม่ถึง เลยเอาแขนขวาตบตรงข้อศอก บอกแขนยาวออกไปซิหว่า ไอ้แขนมันค่อยๆ ยาวออกไปๆ ความจริง ไอ้แก้วน้ำตั้งอยู่ห่างสุดแขนท่านสักเมตรหนึ่งเห็นจะได้หรือเมตรเศษๆ ในที่สุดท่านก็หยิบแก้วน้ำมาส่งให้ คนพวกนั้นมองกันตาตั้งหมดแปลกใจว่าพระทำได้ ท่านก็บอก ไอ้นี่มันเป็นยังงี้ละ ถ้าไปเจอะมันเข้าทีไรมันทำเสียผู้ใหญ่ทุกทีแหละ มันให้เล่นอย่างโน้นเล่นอย่างนี้ ไม่เล่นมันก็ว่า เราจะให้มันทำมั่งมันก็บอกว่ามันลูกศิษย์รุ่นหลัง มันเล็กกว่า มันไม่ทำ นี่ให้มันทำอะไรซี มันไม่ทำหรอก แล้วมันก็ไม่ทำจริงๆ เพราะอะไร เพราะว่า หลวงน้า คือหลวงพ่อปานนะ ท่านเรียกหลวงน้า หลวงน้าท่านสั่งมันไว้ ห้ามไม่ให้ทำ มันก็เลยเลิกทำ ไอ้นี่เคารพคำสั่งครูบาอาจารย์จริงๆ ไอ้เราไม่ถูกจำกัดนี่ มันก็เลยใช้ให้เราทำอะไรต่ออะไรเรื่อยไป ชาวบ้านเขาถามว่าไม่โกรธมันรึ ลูกหลาน บอก โกรธมันยังไงไปด่ามันเข้าซี ดีไม่ดีมันล้วงย่ามเอาสตางค์หมด ไม่ได้หรอก ไปด่งไปด่ามันไม่ได้หรอก ถ้ามันจะว่าอะไร จะใช้อะไรก็ต้องตามใจมัน เดี๋ยวมันไม่ชอบในมันก็หยิบก็ล้วงเอาตามพอใจ เขาก็ถามว่าไม่บาปเรอะ มันจะบาปยังไง มันลูกมันหลาน มันเอาไปแล้วก็เลยนึกให้มันไปเลย ไม่เอาโทษเอาโพยกับมัน นี่เล่าเรื่องตอนต้นนะ สำหรับครูธรรมาภิราม ทีนี้ถึงเวลาปลุกพระจริงๆ เก้าองค์เข้าไปนั่ง อาตมาเองคิดในใจ ว่าเราก็ไม่มีความรู้อะไร ความดีด้านสมาธิก็ไม่มีอะไร เพราะเป็นคนธรรมดาๆ เป็นพระเดินผ่านหน้านรกไปผ่านหน้านรกมา เดินห่างนรกอยู่ครึ่งนิ้วเท่านั้นเอง ถ้าเผลอเมื่อไรหัวก็ทิ่มนรกเมื่อนั้น ก็เลยนึกในใจว่าเอาพระ 9 องค์นี้องค์ไหนมีอานุภาพมากบ้าง อยากรู้ก็เลยเข้าไปในโบสถ์ เขาปลุกในโบสถ์ ไปนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ สำหรับพระที่ปลุกพระเขาทำเก้าอี้ให้นั่ง เอาไม้ไผ่มาทำเก้าอี้ เขาบอกว่าถ้าปลุกด้วยเก้าอี้ไม้ไผ่มันขลังดี ไอ้นั่นเรื่องของอุปาทาน ไม่เกี่ยว เรื่องของคนคิด เมื่อไปนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ตั้งจิตอธิษฐาน อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า คือมองดูพระประธานเป็นกำลัง ขอบารมีพระพุทธเจ้าได้โปรดสงเคราะห์ ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะดูอานุภาพจิตของพระแต่ละองค์ที่มานั่งปลุกพระในวันนี้ ถ้ากระแสจิตของบุคคลใด มีขนาดเท่าใด มีอานุภาพอย่างไรก็ขอให้ปรากฏแก่อารมณ์ของข้าพระพุทธเจ้า นึกเท่านี้นะ อธิษฐานเอาตามเรื่อง ตามเรื่องของคนที่ไม่มีฌานสมาบัติชั้นดีอย่างเขาหรืออาจจะไม่มีเลย พออธิษฐานเท่านั้นก็จับลมหายใจเข้าออก ทำจิตสงบนิดหนึ่ง ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ นี่เป็นอำนาจของพุทธานุภาพจริงๆ นะ ไม่ใช่ความดีของอาตมา เห็นกระแสจิตของพระทุกองค์ใสแจ๋ว เหมือนกับเห็นของในเวลากลางวัน สำหรับกระแสจิตหลวงพ่อนาคนี่พุ่งออกมาใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด เรียกว่าแสงสว่างของจิตแทรกลงไปในเครื่องของขลังอยู่ที่ผิดด้านหน้า ยันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมด อาบลงไปหมดเลย โพลงสว่างชัด ของพระครูธรรมาภิราม พุ่งออกมาเหมือนหอก เป็นกระแสเล็กแต่พุ่งแรงมาก แสดงว่าพระครูธรรมาภิราม เป็นพระนักเลง ชอบคงกระพันชาตรี ของหลวงพ่อนาคนี่เต็มไปด้วยอำนาจพระพุทธบารมีจริงๆ มีความเยือกเย็นสบายๆ ยังไงชอบกล แต่พระอีก 9 องค์ มองดูไปแล้วกระแสจิตไม่ได้ออกมา เหมือนกับจุดเทียนจุดริบหรี่ ปักอยู่ในอกนั่นเองอยู่เฉยๆ เป็นดวงนิดหนึ่ง แล้วก็อยู่ในอกเฉยๆ ก็นั่งดูอยู่ยังงั้นจนกว่าเขาจะเลิกปลุกกัน เมื่อถึงเวลา 23 น. เศษๆ ก็หมดสัญญาณการปลุก ความจริงการปลุกพระนี่ ไม่ต้องใช้เวลามาก ถ้าใช้เวลามากแล้วไม่มีผล ควรจะให้พระกำหนดกันเอง ปลุกพร้อมกัน ใครเต็มเมื่อไรก็พัดผ่อนได้เมื่อนั้น แต่ยังไม่ลุกออกมา ยังงี้จะดีมาก แล้วเวลาปลุกพระ ต้องใช้กำลังสมาธิสูงมาก ถ้าพระได้สมาบัติยังต่ำหรือโยเยอยู่ ยังไม่มั่นคงนัก จิตจะส่ายไปตามกระแสสวด ผลจะไม่ดี แต่ว่าที่ทำกันเวลานี้ ก็มีพระสวดพุทธาภิเศกควบไปด้วย เขาเอาแบบมาจากไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเอาแบบมาจากไหน แต่ว่ามันจะดีหรือไม่ดีแค่ไหนก็ตามเรื่อง หากมีพระกำลังจิตดีก็ใช้ได้ ถ้าพระกำลังจิตไม่ดีก็เลยนั่งหลับตา อีตอนนั่งหลับตาใครจะรู้ว่าทำอะไรบ้าง บางวัดก็เกณฑ์กันตลอดรุ่งไม่เห็นมีประโยชน์ เคยไปร่วมกับเขาเหมือนกัน ถ้าเกณฑ์ตลอดรุ่งดีไม่ดีก็นั่งหลับเลย ตานี้ พอเขาเลิกทำพิธี พระอาจารย์ทุกองค์ก็ลงมา พอลงมาเสร็จท่านก็ไปนั่งกันตามหน้าอาสนสงฆ์แต่ไม่ถึงท้าย อาตมานั่งอยู่ทางท้ายกับพระสมุห์สมบูรณ์ พอลงมานั่งกันเรียบร้อย หลวงพ่อนาคก็บอกว่านี่ท่านพวกนี้รู้ไหม ไอ้ขโมยมันมานั่งขโมยอยู่ พระพวกนั้นก็ทำหน้าล่อกแล่กๆ มีพระครูธรรมาภิรามองค์เดียวยิ้ม หันมายิ้มด้วยแสดงว่าท่านรู้ก็เลยยิ้มกับท่าน แต่หลวงพ่อนาคท่านก็ทำเฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ บอกท่านทั้งหลายรู้หรือเปล่า ไอ้ขโมยมันมานั่งขโมยอยู่ ท้ายอาสนสงฆ์ แล้วก็มีญาติโยมคนหนึ่งถามว่าขโมยอะไร ถามขโมยอะไรเจ้าค่ะหลวงพ่อ ท่านก็บอก มันไม่ได้ขโมยอะไรหรอก มันมานั่งขโมยดูใจพระปลุกพระ ไอ้ขโมย มันนั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ ตานี้เวลาที่ท่านลงมาแล้วเขาขอพระท่าน ท่านก็แจก เวลาท่านแจกไปขอท่านมั่ง ท่านไม่ให้ บอกไอ้นี่ขโมย ไม่ให้ละ ทำได้อย่างที่เขาทำนี่ ทำได้ไปทำเอาเองซี ท่านไม่ให้ ก็มีพระหลายองค์ท่านมองหน้า ท่านก็เลยบอกว่าไอ้นี่แหละขโมย ขโมยดูใจพระทุกองค์ มันรู้ ว่าใจพระองค์ไหนเป็นยังไง นี่มันทำได้นะพระนี่ มันทำได้ ทำได้คล้ายๆ ข้าแหละ แต่ไอ้ข้ากับมันใครดีกว่ากันข้าไม่รู้หรอก แต่วันนี้ท่านผู้ฟังจำไว้นะ ว่าอาตมาไม่ดีเท่าหลวงพ่อนาค แล้วก็ดียังไม่ใกล้หลวงพ่อนาค ยังไกลอยู่นะ เพราะยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ยังเป็นคนปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ มีหนาว มีร้อน มีเมื่อย มีหิว มีกระหาย รู้เปรี้ยว รู้เค็ม รู้เผ็ด แล้วมีอารมณ์ เสียงดังบ้าง ดุบ้าง ด่าบ้าง ว่าบ้าง คำสุภาพบ้าง ยิ้มแย้มแจ่มใสบ้าง หน้าบึ้งขึงจอบ้าง อย่างนี้อย่าชมกันว่าดีนะ เป็นอาการของคนเลว แต่มันยังอยากจะเลวอยู่ก็ปล่อยมันไป ตายเมื่อไร เลิกเมื่อนั้น เป็นอันว่าเรื่องของหลวงพ่อนาค ยุติกันเพียงเท่านี้ แต่ก็ยังไม่เลิกพูด เวลามันยังไม่หมด วันนี้เห็นจะสรุปงานกันได้แล้วนะ เพราะว่าเทปเหลือนิดเดียว — with เกาะแก้วพิศดาร ภูเก็ต and 9 others. by: Paty Sillaparat

(พระธรรมคำสอน...หลวงพ่อชา สุภัทโท

คนที่เรียนปริยัติแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติ ก็เหมือนกับ ทัพพีตักแกง ที่อยู่ในหม้อ มันตักแกงทุกวัน แต่ มันไม่รู้รสของแกง ทัพพีไม่รู้รสของแกง ก็เหมือน คนเรียนปริยัติ ที่ไม่ได้ปฏิบัติ ถึงแม้จะเรียนอยู่จนหมดอายุ ก็ไม่รู้จักรสของธรรมะ เหมือนทัพพี ไม่รู้รสของแกง ฉันนั้น (พระธรรมคำสอน...หลวงพ่อชา สุภัทโท) — with Suradech Lopetcharat. by: Lotus Postman

ธรรมพร สมเด็จพระสังฆราช

หลวงตามหาบัว

"ยอมโง่" การยอมโง่ในสายตาคนอื่น แต่เพื่อความสบายใจของเรา และไม่กระทบกระเทือนกันนั้น เป็นอุบายที่ฉลาดของเรา รู้หลบรู้หลีก รู้ผ่อนสั้นยาว อย่างนี้เป็นทางของคนดี และนักปราชญ์ชมเชย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน by: ขอนอบน้อม พระรัตนตรัย เป็นสรณะ

หลวงปู่หลอด ปโมทิโต

"..ถ้าอยากมีความสุขแท้จริง หรือสุขที่บริสุทธิ์ปลอดภัย ให้ดำรงตนอยู่ในขอบเขต ของศีล สมาธิ ปัญญา อย่ากระทำ พูด คิด ในทาง ที่ขัดต่อ ศีล สมาธิ ปัญญา อีกนัยหนึ่งก็คือ ให้ปฏิบัติตน ตามหลักอริยมรรค ๘ อย่าใช้ชีวิตในทางที่ขัดต่อมรรค ๘ ชีวิตท่านจะพบความสุขใจ ความเอิบอิ่มใจ ที่บริสุทธิ์ อย่างแน่นอน..." (หลวงปู่หลอด ปโมทิโต) — with Ole Love Dhamma and 3 others. by: ธรรมโอสถ

"พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุเกิดขึ้นมาได้อย่างไร"

"พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุเกิดขึ้นมาได้อย่างไร" คำถาม: ผมอยากทราบว่าพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เราจะทราบได้อย่างไรว่าเป็นของจริง และมีผลอย่างไรต่อผู้มีไว้บูชาครับ? คำตอบ: พระบรมสารีริกธาตุ หมายถึงอัฐิของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้วก็ถวายพระเพลิงกัน วันที่พระองค์จะปรินิพพานพระองค์ทรงอธิษฐานว่า ให้อัฐิของพระองค์ส่วนที่เป็นกระดูก จะเป็นฟัน หรือจะเป็นส่วนไหนก็ตาม ให้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย 84000 ชิ้น ตามจำนวนข้อพระธรรมที่มีตรัสไว้ ซึ่งปรากฏต่อมาในพระไตรปิฎก 84000 ข้อ ลักษณะของพระบรมสารีริกธาตุที่จะพอสังเกตเห็นได้ชัดๆ คือมีลักษณะคล้ายมุก ส่วนที่ถามว่าทำไมจึงใสเหมือนมุก ก็บอกว่าเพราะธาตุของพระองค์ถูกกลั่นบริสุทธิ์แล้วจริงๆ เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์ คือ ยังมีชีวิตอยู่ ธาตุที่ประกอบเป็นร่างกายก็บริสุทธิ์จนมีรัศมีแผ่ออกมารอบพระวรกายข้างละวา มีบันทึกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบางพระองค์ ในอดีต มีรัศมีแผ่ออกถึงข้างละ 1 โยชน์ คือประมาณ 16 กิโลเมตร บางพระองค์ข้างละ 10 วา บางที 20 วา ซึ่งก็แล้วแต่บารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ เพราะว่าแต่ละพระองค์ทรงสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน อย่างไรก็ตาม ถ้าธาตุภายในบริสุทธิ์ก็หมายความว่า แม้แต่กระดูกก็บริสุทธิ์ตาม ส่วนพวกเรานี่กิเลสยังหนาอยู่ มีโลภ โกรธ หลง อยู่อีกเยอะ กระดูกของเราเมื่อเผาแล้วเขาเอามากองรวมกับกระดูกแพะ บางทียังแยกความแตกต่างไม่ออก เพราะมันมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก ส่วนพระธาตุ หมายถึงอัฐิของพระอริยสงฆ์ นับตั้งแต่อัฐิของพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ อัฐิของท่านเหล่านี้ก็ยังต่างจากอัฐิของพวกเราอีกนั่นแหละ คือหลังจากที่เขาประชุมเพลิงแล้ว อัฐิของท่านจะมีลักษณะกึ่งหินกึ่งกระดูก แต่ไม่ใช่ Fossil และอัฐิแต่ละชิ้นก็มีลักษณะเฉพาะๆ ของท่าน พระอรหันต์แต่ละท่าน ก็มีลักษณะพระธาตุต่างกัน เพราะสร้างบุญสร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน ส่วนของพวกเราเนื่องจากทำบาปไว้เยอะ พอตายแล้วเขาเอากระดูกไปกองรวมกับกระดูกสัตว์เมื่อไร ก็แยกแทบไม่ออก แต่ว่าถ้าตั้งแต่วันนี้เป็นตันไป นั่งสมาธิ(Meditation)ให้ดี รักษาศีลไม่ให้ขาด กระดูกจะเริ่มเปลี่ยนสภาพตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ พอตายแล้ว แม้อัฐิไม่ถึงกับเป็นพระธาตุอย่างพระอรหันต์ท่าน แต่ก็มีแวววับๆ เรื่องนี้เคยเจอมาแล้ว พระภิกษุบางรูป แม่ชีบางท่านที่ตั้งใจรักษาศีลอย่างดีเยี่ยม นั่งสมาธิมาอย่างดีเยี่ยม เมื่อท่านตายแล้ว พอนำเอาร่างไปเผา อัฐิของท่านมีลักษณะคล้ายเป็นพระธาตุ แต่ยังไม่เต็มที่ อย่างนี้เคยเจอ ดังนั้นขอให้ตั้งใจนะ รักษาศีล 8 ให้ดี นั่งสมาธิมากๆ เมื่อตายแล้วอัฐิจะค่อยๆ เปลี่ยนสภาพไป ที่เปลี่ยนก็เพราะขันธ์ 5 ได้บริสุทธิ์ขึ้นมาตามลำดับไงล่ะ เขาเก็บพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุเอาไว้ทำไม ? เขาก็เก็บไว้กราบไหว้บูชา ถามว่ากราบไหว้บูชาแล้วได้อะไร? ก็ได้เกิดความศรัทธา บางคนพอมาเห็นพระบรมสารีริกธาตุเข้าก็ได้คิด อ้อ..นี่กระดูกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้โฮ้..ใส..ใส ยังกับไข่มุก มองแล้วเกิดความประทับใจมากกว่าจะรังเกียจว่านี่เป็นกระดูก อย่างเราเห็นไข่มุก เรายังชอบใจว่า แหม..ไข่มุกสวยจริงๆ ไข่มุกเกิดจากน้ำลายในตัวสัตว์ เรายังเชิดชูเอามาทำเครื่องประดับราคาแพง แต่ว่าพระบรมสารีริกธาตุบางองค์ใสกว่าไข่มุก เห็นแล้วเกิดความปีติ ไม่ว่าชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่ ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับเมล็ดข้าวสารหักก็มี คล้ายเมล็ดพันธุ์ผักกาดก็มี ชิ้นเล็กๆ สวยๆ พอเห็นแล้วใจมันฟู ทำให้อยากทำความดีตามท่าน อยากจะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาตามท่าน เกิดกำลังใจว่า อ้อ..คนที่ทำความดีเต็มที่จริงๆ นี่ แม้แต่กระดูกยังเปลี่ยนไปในทางดีหมด ความดีที่ท่านทำ ได้เข้าไปกลั่นธาตุให้บริสุทธิ์ขึ้น แม้ที่สุดกระดูกของพระอรหันต์ซึ่งมีความบริสุทธิ์หย่อนลงมาตามส่วน เมื่อเผาแล้วอัฐิธาตุของท่านยังมีคุณประโยชน์ คือเมื่อเราเห็นแล้วก็ยังก่อให้เกิดศรัทธาที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมตามอย่างท่าน บางท่านที่อยากทราบว่าพระธาตุที่ตนมีอยู่เป็นของจริงหรือไม่ ตอบว่าเชื่อยากจริงๆ จะจริงหรือไม่จริง ก็เชื่อไปก่อนก็แล้วกัน แล้วฝึกสมาธิไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงธรรมกายในตัวแล้วค่อยไปดู เพราะว่าถ้าเรามาคิดเสียตอนนี้ว่าไม่จริง ใจมันเลยห่อเหี่ยว เลยขี้เกียจปฏิบัติธรรม แม้คนที่เชื่อก็ต้องระวัง ไม่ใช่คิดเชื่อแต่เพียงว่า เดี๋ยวนี้เรามีของจริงแล้ว บุญของเราคงมากพอแล้ว จึงมีของดีของจริงมาอยู่ด้วย ต่อไปนี้สมาธิไม่ต้องปฏิบัติก็ได้ เอาแต่ไหว้ๆ ก็พอ ถ้าคิดอย่างนั้นละก็ได้ชื่อว่าประมาทและผิดแล้วนะ ให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ พระธาตุที่เรามีอยู่จะจริงหรือไม่จริง เราก็ทำถูกแล้ว ได้ปฏิบัติบูชาแล้ว ถ้าหากของนั้นไม่จริงก็แล้วไป แต่ของจริงคือการปฏิบัติบูชาได้เกิดขึ้นแก่เราแน่นอน กราบของไม่จริง จนได้ของจริงเกิดขึ้นในตัว คุ้มเกินคุ้มนะลูก แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่เคยใช้ได้ผลมาแล้ว คือให้เอาพานมาสักใบพานแก้วก็ได้ เอาผ้าขาวปูลงไป หาเจดีย์เล็กๆ ที่ทำด้วยไม้มาสักองค์ซึ่งวางขายตามร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์นั่นแหละ ปิดฝาวางไว้บนพานแล้วเอาดอกไม้ อาจจะเป็นดอกมะลิก็ได้ บูชาทุกคืน แล้วก็นั่งสมาธิด้วย พร้อมทั้งอธิษฐานว่า “ด้วยความตั้งใจปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า ของให้พระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งพระธาตุด้วย จะอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตาม ขอให้เสด็จมาอยู่ในเจดีย์ของข้าพเจ้า” ทำอย่างนี้สักวันหนึ่งจะได้สมใจ เพราะเคยได้มาแล้ว ทั้งๆ ที่เจดีย์ปิดฝาอยู่นี่แหละ มีพระภิกษุรูปหนึ่งฝึกสมาธิมาไล่ๆ กันนี่แหละแต่ท่านอายุมากกว่าหลวงพ่อ ตอนนั้นเรายังไม่ได้บวชเป็นพระทั้งคู่ วันหนึ่งก็นั่งสมาธิด้วยกันที่บ้านของท่าน หลังคาบ้านเป็นสังกะสี นั่งสมาธิแล้วก็อธิษฐานว่า ขอให้พระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาโปรด เราทีเถอะ เราอยากเห็นของจริงว่าเป็นอย่างไร นั่งสมาธิกันมาอย่างนั้น ประมาณสักครึ่งปี มีวันหนึ่งขณะกำลังนั่งสมาธิอยู่ เกิดเสียงดังกราว เหมือนใครเอาทรายขว้างมาบนหลังคาบ้าน เราก็ไม่สนใจ ครั้นพอเลิกนั่ง ลืมตาขึ้นกราบพระ พอกราบพระเสร็จ ก็เห็นมีพระธาตุตกอยู่ที่พื้นหลายองค์ จะว่าใครขว้างเข้ามา แต่ดูแล้วหลังคาบ้านก็ไม่ได้ทะลุ นี่ก็เป็นเรื่องแปลก ที่เคยพบเห็นมาแล้วด้วยตัวเอง เล่ากันว่า บางคนลืมตาขึ้นมา อ้าวพระธาตุมาอยู่ในมือ...มีอีกคนตอนนี้บวชแล้ว ท่านก็อธิษฐานต่อไปว่า “ที่ตกอยู่กับพื้นนี่ของแท้หรือไม่ก็ไม่รู้” ดูสิขนาดมาเองอย่างนั้นแหละ แท้หรือไม่แท้ยังไม่มั่นใจท่านอธิษฐานใหม่ ว่า “ถ้าเป็นของจริงขอให้อยู่บนหัวเลย” ท่านเป็นคนหัวล้าน ซึ่งอะไรก็ตามยากจะไปติดหัวท่านได้ท่านอธิษฐานแล้วก้มลงกราบ พอก้มลงกราบพระธาตุก็หล่นลงมาจากหัวองค์หนึ่ง ท่านก็เลยคว้ามาเก็บไว้ ขนาดหัวล้านนี่แหละ ยังติดได้ แปลกไหมล่ะ หลวงพ่อพูดแล้วอย่าเพิ่งเชื่อว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ไปทดลองทำดูเองก็แล้วกัน เพราะได้ทำกันจนได้ผลอย่างที่ว่า หลวงพ่อเองเมื่อก่อนบวชก็ไม่เชื่อ คุณป้าของหลวงพ่อท่านบอกให้ทำ ท่านบอกว่าขนาดเจดีย์ปิดๆ อย่างนี้ ป้ายังได้เลย แต่ของท่านได้มาแต่พระธาตุ ส่วนพระบรมสารีริกธาตุท่านยังไม่เคยได้ ตอนท่านเอามาให้ดู สมัยนั้นหลวงพ่อยังไม่เชื่อนะ เลยขัดคอป้าออกไปว่า “ฮื้อ ป้าหลอกใครก็หลอกเถอะ มาหลอกคนอย่างผมไม่ได้หรอก” ว่าป้าไปเสียอีก ป้าก็ไม่รู้จะเถียงอย่างไร ท่านไม่ได้เรียนหนังสือ เถียงสู้เราไม่ได้ แต่วันหลังพอได้กับตัวเอง ถึงได้เชื่อ อ้าว...มันเป็นจริงๆ เพราะฉะนั้นไปลองทำดูก่อน อย่าเพิ่งเชื่อ และก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ ในโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่เคยทราบ ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะอยู่เหนือวิสัยที่เราจะรู้ได้ แต่การที่จะอยู่ในวิสัยที่เราจะรู้ได้ ก็ต้องอาศัยการฝึกฝนตนเองอย่างยิ่งยวดเหมือนกัน ไปลองดูเถอะ คงไม่เกินความสามารถ และสติปัญญาของเราไปได้ หากว่าเราได้ทุ่มเทชีวิตและสติ ปัญญาลงไปจริงๆ โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว) เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา by: ขอนอบน้อม พระรัตนตรัย เป็นสรณะ