7/29/2009

วิธีดับทุกข์เพราะพ่อแม่

พ่อ-แม่ จัดว่าเป็น "ปูชนียบุคคล" ของลูกทุกคน พระพุทธเจ้าทรงเทียบฐานะของพ่อแม่ เท่ากับเป็น พระของลูก แม้บวชอยู่ถึงจะบณฑบาตมาเลี้ยง ก็ยังไม่มีโทษ แถมยังได้รับการยกย่องสรรเสริญ จากพระพุทธองค์อีกด้วย

ด้วยเหตุที่พ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณมากล้นเช่นนี้ ผู้ที่ปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างถูกต้อง จึงมีแต่ "สิริมงคล" เป็นที่ยกย่องสรรเสริญของคนดีโดยทั่วไปในทางตรงกันข้าม

ถ้าปฏิบัติกับพ่อแม่ไม่ถูกต้อง ก็ย่อมจะเกิด "อัปมงคล" หาความเจริญทางจิตใจมิได้ และจะได้รับกรรมอันนี้สนองในชาตินี้เป็นส่วนมาก กล่าวคือ ลูกของเรา ก็จะทำต่อเราเช่นนี้เหมือนกัน

ดังนั้นในฐานะลูกที่ดี จึงควรมีความกตัญญูและกตเวทีต่อพ่อแม่ของตน สนองคุณด้วยการเลี้ยงดูตามธรรม อย่าให้ท่านได้รับความทุกข์ทั้งกายและใจ และผลแห่งกุศลกรรมนี้ ก็ย่อมจะสนองเราทันตาเห็นเช่นเดียวกัน ทั้งรูปธรรมและนามธรรม คือลูกหลานก็จะเลี้ยงดูปฏิบัติต่อเราอย่างนั้น

เรื่องวิธีดับทุกข์ เพราะพ่อแม่เป็นเหตุนี้ อาตมภาพหมายเอาเฉพาะพ่อแม่ที่ขาดศีลและธรรมเป็นมิจฉาทิฐิ ตกเป็นทาสของสุราการพนัน นารี หรืออบายมุขประเภทต่างๆ เป็นต้น อันผลพวงที่ลูกๆ พลอยเดือดร้อนไปด้วย ลูกๆที่ตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ต้องทำใจ ให้ถูกต้องและปฎิบัติตนให้สมกับเป็นลูกที่ดี อย่าได้เอา "น้ำเน่าไปล้างน้ำเน่า"เป็นอันขาด มิฉะนั้นจะได้ชือ่ว่าเป็น "ลูกอกตัญญู" หรือ "ลูกเนรคุณ" ไปจะมีแต่เสนียดจัญไร เมื่อตายไปก็เกิดในนรกแน่นอน

หลักความจริงมีอยู่ว่า "ในชาตินี้เราไม่อาจจะเลือกเกิดเป็นลูกของคนนั้นคนนี้ได้" เพราะมันได้เกิดมาเสียแล้ว เเต่เราก็สามารถเลือกเกิดในอนาคนได้ ด้วยการสร้างเหตุขึ้นมาใหม่

การที่ทุกคนได้เกิดมาแล้ว เป็นผลจากกรมเก่าที่เราได้ทำเอาไว้เองส่งผลให้เรามาเกิดในฐานะเช่นนี้ เราควรยินดี และพอใจพ่อแม่ของตน แม้จะอยู่ในภาวะใด ก็ตาม (ความไม่พอใจเป็นทุกข์ ความพอใจเป็นสุข)

ถ้าเราไม่ยินดี ไม่พอใจพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดเรา ซึ่งเราก็ไม่อาจจะเลือกได้ การไม่ยินดีไม่พอใจนั้น จึงเป็นความทุกข์ประการหนึ่ง

นอกจากนั้น การคิดนึกเช่นนี้ ย่อมจะเป็น "เชื้อ" ให้เกิด "อกตัญญู" และเมื่ออกตัญญู อกตเวที และ "เนรคุณ" ก็อาจจะตามมาอีกด้วย จึงควรรีบจำกัดกำจัดความคิดเช่นนี้เสียโดยเร็ว

แม้ว่าพ่แม่ จะเป็นคนแสนเลวประการใด โหดร้ายเพียงใด ก็จะต้องถือว่าเป็น "บุคคลต้องห้าม" สำหรับลูก ที่จะเข้าไปแตะต้องด้วยอกุศลจิต ด้วยทางกาย ทางวาจา หรือทางจิตใจ มิได้เลย

พ่อแม่เปรียบประดุจพระอรหันต์ของลูก เพราะรักลูกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ลูกที่มีสัมมาทิฐิ ต้องให้ความเคารพนับถือ เชื่อฟัง และตอบแทนคุณ ถ้าไม่ปฏิบัติก็จะเกิดมลทิน คือความเศร้าหมองไปชั่วชีวิต

การที่พ่อแม่ทำผิดทำชั่ว อันเป็นผลพวงที่ตกมาถึงเรา ก็เป็นเพราะอกุศลกรรมของเราดลจิตใจให้ท่านทำเช่นั้น เราอย่าได้เอาความชั่วไปตอบแทนพระคณที่ท่านให้กำเนิดแก่เรา ให้ใช้ความอดทน อดกลั้นเต็มที่

การที่เราได้มาเกิดเป็นลูกของท่านก็เป็นผลแห่งบาปกรรมที่เราทำเอาไว้เองให้ เป็นไป ถ้าเราไม่ต้องการจะมาเกิดเช่นนี้อีก ก็ควรเร่งทำความดีให้มากขึ้น (ยังทำดีน้อยไป) ในชาติต่อไป เราก็ยอ่มพ้นจากสภาพเช่นนี้ได้

มีโยมคนหนึ่งมาหาแล้วถามว่ามีพ่อขี้เหล้ามักด่าและตบตีเป็นประจำ ส่วนแม่ก็เอาแต่เล่นไพ่ เล่นได้ก็หน้าบานใจดี วันไหนเล่นเสีย ก็พาลด่าจนเข้าหน้าไม่ติด เขาได้แนะนำให้พ่อเลิกเหล้า ให้แม่เลิกเล่นไพ่ ก็ถูกด่าเปิง แถมจะลงมือลงไม้เอาด้วย หาว่าอวดดีมาสอนพ่อแม่มึงเป็นลูกอย่าเสือกมาสอนกู กูไม่ดีก็เลี้ยงมึงมาไม่ได้ ขอให้อาจารย์ช่วยแนะนำด้วย จะทำอย่างไร ดี พ่อแม่จึงจะเลิกอบายมุขได้ ? ได้ให้คำแนะนำเขาไปว่า...

การที่จะแนะพ่อแม่ได้ พ่อแม่นั้นจะต้องมีความนับถือ หรือเกรงใจลูกอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไป การสอนพ่อแม่เป็นเรื่องทำได้ยาก ทั้งนี้เพราะเหตุหลายประการ เช่น...

พ่อแม่มีสำนึกอยู่ว่า "กูเป็นพ่อ กูเป็นแม่ กูอาบน้ำร้อนมาก่อน มีหน้าที่ต้องสอนลูก เลี้ยงดูลูก ลูกมีหน้าที่เชื่อฟังและทำตามอย่างเดียว จะมาสอนพ่อแม่ไม่ได้ ถึงแม้พ่อแม่จะทำผิดทำชั่วก็ตาม"

คำแนะนำของลูกที่ถูกต้อง จึงไม่มีน้ำหนักที่จะเรียกร้องให้ยอมรับฟัง หรือทำตามได้ ยกเว้นแต่พ่อแม่ที่เป็นสัมมาทิฐิ แต่ได้หลงผิดไปชั่วคราวอาจยอมรับและกลับจิตกลับใจได้ง่าย

ถ้าเป็นเช่นนี้ ทางปฏิบัติก็มีอยู่สองประการ คือ
1.วางอุเบกขาปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของท่านเอง
2.หาผู้ที่พ่อแม่เคารพนับถือ ช่วยแนะนำตักเตือนให้ อาจจะเลิกได้ถ้าท่านเชื่อผู้นั้น ขอแต่ว่าให้เราพยายามทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ถ้าท่านไม่รีบตายจากเราไปเสียก่อน หมดเวรหมดกรรมเมื่อไร ท่านก็ต้องเลิกไปเองแหละ

ทางแก้ทุกข์นี้ก็คือ

1. ศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรมให้เห็นความจริงว่าที่เราเกิดกับพ่อแม่ที่ไม่ดีนั้น เป็นผลของอกุศลกรรของเราเอง ถ้าไม่อยากมาเกิดกับพ่อแม่เช่นนี้ ก็ต้องเร่งทำความดีให้มาก ชาติหน้าก็จะไม่มาพบพ่อแม่เช่นนี้อีก

2. ต้องปฏิบัติหน้าที่ ระหว่างลูกกับพ่อแม่ให้ถูกต้อง คือมีความกตัญญูและกตเวที พยายามให้พ่แม่มีศีลธรรมให้ได้ อย่าได้เอาความชั่วไปต่อความชั่ว มิฉะนั้นในชาติหน้าเราจะต้องไปเกิดเช่นนี้และชดใช้บาปกรรมร่วมกันอีก ไม่มีที่สิ้นสุด

3. การทำให้พ่อแม่ทุกข์กายและใจ บ่นด่าทุบตีหรือฆ่าเป็นการปิดทางสวรรค์ และนิพพานของลูก พร้อมกันนั้นก็เปิดทางแห่งอบาย คือไปเกิดในภพภูมิไม่ดี มีความทุกข์ เช่นเกิดในนรก เดียรัจฉาน เปรต อสุกาย

4. การที่เราอยู่กับพ่อแม่ที่ขี้บ่นหรือด่านั้น ถ้าเจาะให้ลึกถึง "ก้นบึ้งของหัวใจ" ก็จะพบความจริงว่า เกิดจากความ "หวังดี" คืออยากให้ลูกดี

ถ้าท่านไม่รักเราจริง ท่านจะบ่นด่าทำไม? ให้มันเมื่อยปาก? ปล่อยให้เรา "ขึ้นช้าง-ลงม้า" คอหัก พรอันประเสริฐทีลูกควรรับฟังและพิจารณาด้วยใจเป็นกลางคือคำด่า และควรปฏิบัติดังนี้
4.1 ถ้าท่านด่าหรือบ่น โดยเราไม่ผิดหรือไม่จริงก็อย่าได้สวนขึ้นในขณะนั้น รอให้ท่านอารมณ์ดีก่อน แล้วค่อยชี้แจงเหตุผลให้ฟังภายหลัง
4.2 ถ้าท่านด่าหรือบ่น โดยเราเป็นฝ่ายผิดก็ต้องรีบแก้ไขปรับปรุงตนอย่าได้ทำเช่นนั้นอีก ท่านก็จะเลิกบ่นไปเอง
4.3 ถ้าท่านบ่นหรือด่า โดยหาสาระมิได้ ก็ควรสงบใจ วางอุเบกขาเสียมันเป็นการระบายอารมณ์ ของคนที่มีภาระมากและวางไม่ลง ได้บ่นหรือด่าใครนิดหน่อย อารมณ์ก็จะดีขึ้นเอง เป็นธรรมดาของคนที่ห่างวัด ขาดธรรมะ จะต้องเป็น "เช่นนั้นเอง" ให้หันมาทำใจ คิดว่าช่วยให้ท่านสบายใจเถิด

5. คำบ่นหรือด่าพ่อแม่ ไม่มีพิษภัยเท่ากับคำเยินยอของหนุ่มสาว ถ้าเราทนได้ ปล่อยวางอุเบกขาได้ก็เป็นการบำเพ็ญ "ขันติบารมี" ไปในตัว ควรฝึกหัดทำให้ได้ (ให้นึกว่าคำด่าของพ่อแม่เหมือนเป็นการให้พร)

จากหนังสือ วิธีตอบแทนพระคุณพ่อแม่
รวบรวมโดย พระมหาทองมั่น สุทธจิตโต
"ทองคำแท้หรือไม่? เมื่อโดนไฟก็รู้ คนดีแท้หรือไม่? ให้ดูตรงที่เลี้ยงดูพ่อแม่ ถ้าดีจริงต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยงดูแสดงว่าไม่ดีจริง เป็นพวกทองชุบ ทองปลอม ทองเก๊"

Reference: ขอบคุณเวปไซด์เก้าเก้าดอทคอม __________________
การรักสันโดษ คือ ทางแห่งนิพพาน

No comments: