8/18/2009

พระพุทธเจ้าครองใจคนได้อย่างไร ผู้นำดูไว้!





ใครว่าเป็นผู้นำต้องไม่ทำงานหนัก หากใครพูดอย่างนี้คงเป็นผู้นำคนไม่ได้ และคงไม่เหมาะสมที่จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำไม่ว่าระดับไหนก็ตาม

ผู้ นำต้องทำงานหนักแน่นอน อยู่ที่ว่าจะหนักแบบไหนอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับลักษณะที่รับผิดชอบ เป็นผู้นำแล้วไม่ทำงาน หรือทำงานน้อยๆ หรือทำไปวันๆ พอแล้วไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนี้ก็ยากที่จะครองใจลูกน้องบริวาร หรือนั่งอยู่ในกลางใจผู้คนได้
ผู้นำทั้งหลายถ้า ไม่มีใครเป็นต้นแบบอยากให้ดูพระพุทธเจ้าเป็นโมเดล บรรดาภิกษุหรือฆราวาสจะหาคนที่ทำงานหนักเฉกเช่นพระองค์นั้นไม่มีแน่ ถ้านับชั่วโมงทำงานของคนทั่วไปวันหนึ่งทำประมาณ 8-10 ชั่วโมง แต่พระพุทธเจ้าทรงงานเกือบตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวันเป็นเวลา 45 ปี เรียกว่าแทบหาเวลาพักผ่อนบรรทมนั้นไม่มี
ทรงงานหนักแต่เช้ามืดทุกวัน
งาน ของพระองค์คือการเป็นครู ทรงเป็นครูสอนของเทวดาและมนุษย์ หน้าที่คือทรงสอนให้รู้จักการละความชั่ว ทำความดี และชำระจิตของตัวเองให้สะอาด เรียกว่าเป็นงานที่ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินทอง ในขณะเดียวกันก็ไม่ทรงหวังสิ่งตอบแทนใดๆ ในรูปของวัตถุสิ่งของและเงินตราจากผู้นั้นด้วย ทรงหวังแต่เพียงว่าให้เขามีความสุข ถ้ามีทุกข์ก็ให้คลายหายจากความทุกข์ นี่คือเป้าหมาย
“พุทธกิจแรกในวันใหม่เริ่ม ตั้งแต่เช้ามืดของทุกวันจะทรงตรวจดูสัตวโลกเพื่อหาคนที่มีอุปนิสัยที่จะ เทศนาสั่งสอน ทรงตรวจดูว่าวันนี้คนที่จะไปเทศน์สอนนั้นเป็นใคร เป็นคนกลุ่มไหน เป็นเศรษฐีหรือคนยากจนมีร่างกายสมประกอบหรือพิการ มีอุปนิสัยอย่างไร มีจริตอย่างไร และคำสอนชนิดไหนที่จะเหมาะกับเขา สอนแล้วผลที่เขาจะได้รับเป็นอย่างไร ได้ขั้นไหน ขั้นบรรลุมรรคผลหรือขั้นอรหันต์ หรือขั้นแค่ให้เขาศรัทธาในพระรัตนตรัย” ดร.บรรจบ บรรณรุจิ อาจารย์ประจำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

ไม่เกี่ยงสถานะของผู้นั้นจะเป็นเช่นไร
ใน โลกนี้จะหาผู้นำที่มีความยุติธรรม ไม่มีอคติไม่เลือกที่รักมักที่ชังยากนักหนา เพราะส่วนใหญ่ที่เห็นผู้นำมักจะไม่สามารถผดุงความยุติธรรมเอาไว้ได้ เพราะมุ่งแต่ประโยชน์ตน กลุ่มตน และพรรคตนเป็นสำคัญ ปากมักจะพูดว่ายุติธรรม ไม่มีอคติ แต่ใจหาเป็นเช่นนั้นไม่
สำหรับ พระพุทธเจ้าแล้วทรงเป็นผู้นำที่ทรงวางพระองค์เป็นกลางจริงๆ ในการที่จะเสด็จไปเทศนาสอนใครนั้น ไม่ทรงมีอคติ ไม่ว่าผู้นั้นจะไม่ชอบหรือคิดประทุษร้ายพระองค์ นอกจากนี้ในการเดินทางไปเทศนาสั่งสอนก็ไม่ทรงเกี่ยงในเรื่องระยะทาง ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ไกลแค่ไหน เป็นร้อยโยชน์พันโยชน์ และมีภูมิประเทศแห้งแล้งแค่ไหน ขอเพียงเขาผู้นั้นพร้อมที่จะรับฟังธรรมก็พร้อมที่จะเสด็จไปโปรดทุกเมื่อ
ประการ สำคัญ พระบรมครูจะไม่ทรงเกี่ยงในเรื่องของสถานะของผู้นั้นว่าเขาเป็นอะไร เป็นพระหรือฆราวาส เป็นราชา หรือราษฎร เป็นโจรผู้โหดร้าย หรือคนนอกพุทธศาสนาที่ไม่ชอบพระพักตร์พระองค์ ถ้าเขามีอุปนิสัยแล้วจะต้องเสด็จไปให้ได้และไม่ทรงคำนึงว่าจะมีฐานะอย่างไร รวยหรือจน เพราะมีพระทัยเสมอในทุกคนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังเหมือนที่ผู้นำหลายๆ คนเป็น
แต่จะเห็นว่าผู้นำบางคนถ้าจะทำประโยชน์ อะไรให้ประชาชน ก็จะไม่มองลงไปที่ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอันดับแรก แต่จะมองว่าประชาชนในภาคนี้ จังหวัดนี้เป็นฐานคะแนนของตนก็ทำให้ก่อนแต่สำหรับพระพุทธเจ้าไม่ทรงเป็นผู้ นำแบบนี้แน่นอน
ทำงานโดยมีเมตตาเป็นพื้นฐาน
ผู้ นำบางคนมักจะมีอคติอยู่ในใจและทำงานบนพื้นฐานของความโกรธ ทำให้ลูกน้องบริวารต้องทำงานอย่างหวาดระแวงและไม่มีความสุข ได้ยินเสียงนายทีไรเป็นสะดุ้ง แต่พระพุทธเจ้าทรงงานโดยมีพระเมตตาและมหากรุณาเป็นพื้นฐาน เพราะในสายพระเนตรพระองค์สัตวโลกทั้งหมดล้วนตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ทั้ง สิ้น จึงต้องการที่จะช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ด้วยพระทัยเมตตากรุณา ขนาดพระเทวทัตที่ตั้งตนเป็นศัตรูก็ไม่เคยโกรธตอบแต่กลับมีพระทัยปรารถนาดี ต่อพระเทวทัตทุกเวลา

“พระพุทธองค์ทรงหวั่น ไหวคืออนาทรกับความทุกข์ร้อนของสัตวโลกมาก เมื่อสัตวโลกประสบกับความทุกข์ก็ทรงมีพระเมตตามาสั่งสอนให้เขาพ้นทุกข์ตลอด 45 ปี และนี่คือสิ่งพระองค์ทรงครองใจคนได้” ดร.บรรจบ กล่าว
พระ ศรีญาณโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กล่าวเสริมว่า พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีเมตตากรุณาต่อสัตวโลก ทั้งคนที่ทรงรัก คนที่รักพระองค์ และคนที่รังเกียจคิดประทุษร้ายพระองค์ เช่น พระเทวทัต ที่ไม่ผูกโกรธ ไม่ว่าร้าย ไม่ประทุษร้ายตอบ ทรงงานหนักโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยใดๆ้นแก่เหน็ดเหนอยน ทรงทำประโยชน์กับสังคมมากและไม่ทรงหวังประโยชน์ใดๆ จากสังคมเลย เพียงแค่มีปัจจัย 4 เพื่อทรงมีพระกำลังในการทำประโยชน์ให้แก่สังคมต่อไปเท่านั้น




ไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า
ในส่วนของวิธีการสอนของพระองค์นั้น ซึ่งเป็นที่ประทับใจและครองใจคนนั้นมีมากมายยากที่จะนำมากล่าวในที่นี้ได้ หมดสิ้นจึงขอนำมากล่าวเป็นบางส่วน เช่น บางครั้งไม่ทรงใช้วิธีการหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพราะการที่จะใช้วิธีนี้จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
พระศรีญาณโสภณ กล่าวว่า วิธีหักด้ามพร้าด้วยเข่าเป็นเรื่องที่ต้องระวัง ต้องละเอียดคิดให้ดีถ้าจะใช้ และพระพุทธองค์ก็ไม่ทรงใช้วิธีนี้หันไปใช้วิธีอื่นแทน อย่างกรณีที่พระวัดโฆสิตารามเมืองโกสัมพีทะเลาะกันรุนแรงมากทรงห้ามอย่างไร ก็ไม่ฟังแทนที่จะลงโทษพระก็หันไปลงโทษพระองค์แทนด้วยการเสด็จหลีกหนีพระ เหล่านั้นไปอยู่ป่ากับลิงและช้าง
“ชาวบ้านเมื่อไม่เห็นพระพุทธเจ้าก็พานโกรธพระไม่ยอมใส่บาตรทำให้พระต้องอด ข้าวจนในที่สุดต้องหันมาสามัคคีกันแล้วเดินทางไปขอขมาพระพุทธเจ้านิมนต์ให้ เสด็จกลับมา กลับมาแล้วชาวบ้านก็หันมาใส่บาตรดังเดิม นี้ก็เป็นพุทธวิธีครองใจคนอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า” พระศรีญาณโสภณ กล่าว
การที่พระพุทธเจ้าทรงครองใจคนมาถึงวันนี้2,552 ปีเข้าแล้ว เพราะทรงงานหนักด้วยพระทัยที่มีพระเมตตาและพระมหากรุณาเป็นที่ตั้ง ปราศจากอคติทั้งสี่ มีความเป็นกลาง ทรงมีพระทัยในทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าผู้นั้นจะชอบหรือรังเกียจพระองค์ ไม่ว่าผู้นั้นจะรวยหรือจน ทุกคนทรงให้ความเท่าเทียมหมด ไม่มีเหลื่อมล้ำ จึงยากที่จะหาผู้นำคนใดมาเทียบพระองค์ได้ในทุกกรณี
ฉะนั้น ผู้นำยุคนี้ถ้าหวังจะเป็นผู้นำที่ครองใจคนทั้งประเทศหากยังหาต้นแบบไม่เจอก็ขอให้ดูพระพุทธเจ้าเป็นแบบปฏิบัติ

[url=http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=62173]

No comments: