10/14/2009

ทำบุญกับขอทานขึ้นสวรรค์ ทำบุญกับพระอรหันต์ตกนรก

ผมได้รับฟังมาจากพระอาจารณ์อีกทีหนึ่งเห็นว่ามีประโยชน์เลยนำมาเล่าให้ฟังต่อแต่ก็ถูกลบไปนะครับ ก็ขอเล่าอีกทีนะครับ

เมื่อครั้งสมัยพุทธกาลมีพระอรหันต์หนึ่งองค์ท่านก็ออกบิณฑบาตรทุกวันตาม กิจสงฆ์ของท่าน ชาวบ้านก็ใส่บาตรตามปกติทุกวันและมีขอทานคนหนึ่งออกเทียวขอทานตลอดเวลาชาว บ้านเห็นแล้วบ้างก็ให้ทานบ้างก็ไม่ให้ตามแต่ใจของแต่ละคน ต่อมาขอทานคนนี้ได้เห็นพระอริยสงฆ์อรหันต์ออกบิณฑบาตรชาวบ้านใส่บาตรกันมาก มาย ขอทานจึงมีความคิดว่าเราจะปลอมเป็นพระสงฆ์เพื่อหวังผลคือลาภสักการะไม่ต้อง เที่ยวขอทานอีก จึงได้ไปโกนหนวดโกนหัวโกนเคราแล้วนำจีวรมาห่มปลอมตัวเป็นพระสงฆ์เที่ยวออก บิณฑบาตร ชาวบ้านไม่รู้เลยพากันใส่บาตรให้ ด้วยตนเป็นขอทานปลอมตัวมาด้วยความกลัวว่าชาวบ้านจะจับได้จึงสำรวมเป็นที่สุด ชาวบ้านเห็นพระสำรวมคิดว่าเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจึงเกิดศรัทธาเลื่อมใส กันใหญ่ ต่อมาพระอรหันต์องค์จริงได้ออกบิณฑบาทตามปกติเนื่องจากท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วหมดสิ้นกิเลสตัณหาแล้วท่านก็เดินบิณฑบาตรตามปกติชาวบ้านก็ใส่บาตรให้ พอใส่บาตรเสร็จก็ปากเสียไปด่าพระอรหันต์ว่า พระอะไรไม่สำรวมเลย สู้พระอีกองค์ไม่ได้ (หมายถึงขอทานปลอมตัวมา)สำรวมกว่าอีก เมื่อเวลาผ่านไปชาวบ้านได้สิ้นชีวิตลง ชาวบ้านที่ใส่บาตรพระอรหันต์ได้ไปเกิดในนรกเนื่องเพราะปากเสียไปด่าพระ อรหันต์เข้า ส่วนชาวบ้านที่ใส่บาตรทำบุญกับขอทานได้ไปสวรรค์เพราะทำบุญด้วยจิตศรัทธาอัน บริสุทธิ์นิทานเรื่องนี้มีข้อคิดหลายอย่างมากอยู่ที่ปัญญาของแต่ละท่านว่าจะ คิดยังไงก็แล้วแต่ครับแต่ผมชอบนิทานเรื่องนี้มากเพราะทำให้ผมใหว้พระด้วยจิต ศรัทธาโดยไม่สนใจว่าท่านจะเป็นยังไงกรรมใครกรรมมันครับใครทำอย่างใดได้ยัง งั้นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนเพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ในปัจจุบันชอบนิทาพระว่า องค์นี้เป็นยังงี้องค์นั้นเป็นยังงั้น ระวังนะครับนรกรออยู่ครับ สาธุ

เรื่องจากธรรมบท อปุตตกเศรษฐี



........ ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี มีเศรษฐีผู้หนึ่งไร้ความศรัทธา ทั้งตระหนี่เหนียวแน่นแสนหนักหนา อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเศรษฐีจะไปเข้าเฝ้าพระราชา ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า ตครสิขี กำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ เกิดใจดี จึงสั่งคนรับใช้ให้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า ไปรับอาหารที่บ้านของตน แล้วรีบรุดไปเฝ้าพระราชา ส่วนคนรับใช้นั้น เมื่อนำพระปัจเจกพุทธเจ้าไปถึงเรือนของเศรษฐีแล้วจึงบอกกับภรรยาเศรษฐีตามคำ สั่งที่ได้รับมาทุกประการ
ฝ่ายภรรยาผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในการทำบุญ อยู่แล้ว พอได้ยินคำนั้นก็ดีใจว่า " เป็นเวลานานทีเดียว กว่าที่เราได้ยินคำว่า ทำบุญถวายทาน จากปากของเศรษฐี ความตั้งใจของเราจะเต็มเปี่ยมในวันนี้ เราจักได้ถวายทาน " นางจึงรีบจัดแจงโภชนาหารอันประณีตครบทุกอย่าง แล้วได้ถวายอาหารอันประณีตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้น ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าพอรับอาหารแล้วก็เดินจากไป ด้วยสีหน้าเบิกบานผ่องใสเป็นปกติ

เศรษฐีครั้นเฝ้าพระราชากลับมาแล้ว ได้สวนทางกับพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น มีความเข้าใจว่าท่านคงรับบิณฑบาตที่บ้านตนมาแล้ว จึงดูยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้สงสัยว่าจะต้องมีอาหารอะไรพิเศษแน่ ว่าแล้วก็ขอดูในบาตร ครั้นเห็นอาหารในบาตรมีความประณีตมาก จึงเกิดความร้อนใจเสียดายขึ้นมา แล้วคิดในใจว่า " ให้พวกทาสหรือกรรมกรกินอาหารนี้ยังดีกว่า เพราะพวกเขากินแล้วจะทำการงานให้เราได้ ส่วนสมณะนี้เมื่อบริโภคอาหารอันประณีตนี้แล้วก็มิได้ทำการงานใด อาหารที่เราถวายไปจะเปล่าประโยชน์ " เมื่อคิดอย่างนี้จึงไม่อาจจะรักษาเจตนาระยะสุดท้ายให้บริบูรณ์ได้

....... อีกคราวหนึ่ง เศรษฐีได้ฆ่าหลานชายคนหนึ่งของตน ( พ่อของหลานชายเป็นพี่ชายได้ไปบวชเป็นดาบส )เพราะความโลภในสมบัติ เนื่องจากหลายชายชอบพูดว่า " ยานพาหนะนี้เป็นของพ่อฉัน โคนี้เป็นของอา "พอเศรษฐีได้ยินคำนี้จึงโกรธ เกิดความริษยาและคิดว่า " ตอนนี้หลานยังเล็กอยู่ ยังพูดถึงขนาดนี้ ถ้าโตขึ้นจะไม่พูดถึงสมบัติยิ่งกว่านี้หรือ " จึงลวงหลานไปในป่า แล้วฆ่าทิ้งเสีย

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเล่าบุพกรรมนี้ให้แก่พระเจ้า ปเสนทิโกศลทราบ แล้วตรัสว่า " มหาบพิตร ด้วยผลแห่งกรรมที่เศรษฐีได้ถวายบิณฑบาตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ทำให้ได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ๗ ครั้ง และผลที่เป็นเศษกรรมทำให้เข้าถึงความเป็นเศรษฐี ๗ ครั้ง

ผลกรรมที่ ถวายทานแล้วร้อนใจ เสียดายในภายหลัง ( กระแสกิเลสบังคับใจให้คิดตระหนี่ถี่เหนียว ) ทำให้จิตใจของเศรษฐีนั้นไม่น้อมไปเพื่อบริโภคอาหาร เพื่อใช้เครื่องนุ่งห่ม เพื่อใช้ยานพาหนะ เพื่อความสุขสบายอย่างเต็มที่ ( คือไม่สามารถใช้สมบัติที่ตนมีอยู่ได้อย่างเต็มที่ และความสุขที่จะได้จากสมบัตินั้นก็ไม่เต็มบริบูรณ์ )

ด้วยกรรมที่ เศรษฐีนั้นฆ่าหลานชายจึงเข้าถึงอบายภูมิเป็นเวลานาน ผลที่เป็นเศษกรรมทำให้ถูกยึดสมบัติเข้าพระคลังหลวง ดูก่อนมหาบพิตร ด้วยว่าบุญเก่าของเศรษฐีหมดแล้ว และบุญใหม่ก็ไม่ได้สั่งสมไว้ดังนั้นในวันนี้เศรษฐีนั้นจึงยังอยู่ในมหาโรรุ วนรก "

พระศาสดาตรัสว่า " มหาบพิตร บุคคลผู้มีปัญญาทรามได้โภคะแล้ว ย่อมไม่แสวงหาพระนิพพาน อนึ่ง ตัณหาเกิดขึ้นเพราะอาศัยโภคะทั้งหลาย ย่อมฆ่าคนเหล่านั้นตลอดกาลนาน "

.......ฉะนั้นบุญที่ได้ถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ มีองค์แห่งผู้รับครบทั้ง ๓ ประการแล้ว

ถ้าผู้ให้รักษาเจตนา ๓ ได้ครบด้วย จะเกิดผลบุญอย่างจะนับจะประมาณไม่ได้ และบุญส่งต่อไปให้มีความสุข

ต่อเนื่องตลอดไป ดังเรื่องที่เล่านี้ เศรษฐีได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นเนื้อนาบุญที่เลิศ ที่บริสุทธิ์ แต่ไม่รักษา

เจตนาให้บริบูรณ์ โดยเฉพาะเจตนาระยะสุดท้าย คือ เกิดความร้อนใจ เสียดายทรัพย์ ไม่สามารถตัดความตระหนี่

ขาดจากใจ บุญจึงหกหล่นไป ส่งผลไม่บริบูรณ์ ไม่เต็มที่ และบุญที่จะส่งต่อเกื้อกูลให้ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไปก็ไม่มี

ทั้งยังมีใจที่โลภ ริษยา จึงเป็นเหตุให้ฆ่าหลานชาย และต้องตกนรกไปในที่สุด

No comments: