9/29/2009

วิบากกรรม เถียงพระอรหันต์ ((ด้วยมานะทิฏฐิ ))



มีพญานาคสีดำตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งก่อนที่จะมาเป็นพญานาคนั้นเขาเคยเป็นมัคทายกวัดมาก่อน โดยเขาทำหน้าที่เป็นคนนำคนสวด เป็นผู้นำคนอื่นเขาทำความดีที่วัด เขาได้ฟังพระเทศน์มากกว่าคนอื่นเขา เวลาขอศีลพระเขาก็เป็นคนกล่าวนำ เวลาอุทิศส่วนกุศลก็เป็นคนกล่าวนำ เวลาพระเทศน์ก็เป็นคนกล่าวนำ เขาอยู่กับวัดมานานมาก เรียกว่าพวกแก่วัด ทีนี้อยู่ในวัดมานานเขาก็เลยมีทิฐิมาก ไม่ค่อยจะยอมฟังคนอื่นเท่าไร คิดว่าตัวเองนี่มีความรู้เยอะ และก่อนหน้านี้เขาก็เคยบวชเป็นถึงเปรียญ มีความรู้ทางศาสนามาเยอะ ตัวเขาก็ถือว่าเขามีภูมิความรู้ดีกว่าใคร ๆ ดังนั้นพระที่บวชมาใหม่ๆนั้นก็มักจะถูกเขาตำหนิ ว่าเอา ชอบเที่ยวไปสอนพระ แต่ว่าบังเอิญเขาไปสอนเอาพระอรหันต์เข้า เรื่องของเรื่องมันหนักก็ตรงนี้ล่ะ พระอรหันต์องค์นั้นเป็นเณร เขาไปเถียงกับเณรเข้า เขาเห็นว่าเณรยังเป็นเด็ก ยังอายุน้อยอยู่ แต่เณรที่เป็นพระอรหันต์ท่านรู้แจ้งในความจริงแล้ว ท่านก็พยายามที่จะชี้แจงในสิ่งที่เป็นความจริง แต่มัคนายกคนนี้ก็จะคอยเถียงว่า ไม่จริง ไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องอย่างนี้ เณรน่ะไม่รู้จริง แต่ตอนที่เถียงกับเณรนั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรกับหรอกนะ เพราะเขาก็มีความเคารพในพระเหมือนกัน แต่ ว่าความคิดของมัคนายกเขายังไม่รู้จริง แต่ดันไปยึดเอาแต่ความคิดของตัวเองมาเป็นใหญ่ เที่ยวเอาความคิดเห็นของตัวเองไปชี้นำคนอื่นเขา พอคนอื่นเขาแย้งมาเขาก็จะแย้งกลับ กล่าวถ้อยคำทุ่มเถียงกัน ไม่ค่อยจะยอมใคร แกก็เป็นของแกแบบนั้นไปเรื่อย ๆ

จน วันหนึ่งแกก็ตายจากความเป็นคนไป เพราะโรคท้องมันกำเริบ พอจิตออกจากร่างปั๊บก็กลายเป็นพญานาคสีดำ ที่ตัวมีสีดำก็เพราะว่าจิตของเขาหมอง เพราะมัวแต่ไปครุ่นคิดในสิ่งที่มันโต้เถียงที่มันขัดแย้งอยู่ในใจของเขาอยู่ มันทำให้ใจของเขาขุ่นมัวอยู่เรื่อย ๆ แต่มันก็ยังดีที่ว่าเขาก็ไม่ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายอะไร เพราะศีลเขาก็ตั้งใจรักษา แต่ว่าศีลที่เขารักษามันก็ยังไม่ได้บริสุทธิ์จริง ตัวเขาเองก็กราบพระไหว้พระแต่ก็ไม่ได้ถึงในคุณของพระจริงเพราะไปมองตัวเอง ว่าเป็นผู้ที่มีความรู้เยอะกว่าคนอื่น ทำให้จิตของเขามันก็ยังมีเศร้าหมองอยู่ ไม่แจ่มใส ความเศร้าหมองมันก็สะสมไปเรื่อย ๆ จิตมันก็เลยคล้ำไป ทำให้เวลามาเกิดเป็นพญานาคขึ้นมามันก็เลยมีสีดำทั้งตัว

แต่ ที่จริงแล้วพญานาคทั่ว ๆไปนี่เค้าจะมีสีถ้าไม่ทองก็ออกมรกต คือมีสีสันมีเครื่องแต่งกายที่ดูเหมือนเป็นเพชรนิลจินดา มีความสว่างสวยสด แต่พญานาคมัคนายกนี่ไม่ใช่ เวลาอยู่ในถ้ำเขาก็อยู่คนเดียวเพราะสมัยที่เขาเป็นคนนั้นเขาไม่เอาใคร ไม่เกื้อกูลกับใคร ตัวเขาถือว่าเขาเป็นใหญ่ในวัด คิดว่าวัดนี้มันเป็นวัดของเขา ทุกคนก็ยอมให้เขา ตัวเขาก็เลยย่ามใจคิดว่าตัวเขานี่เป็นผู้มีอำนาจพอในการตัดสิน ชี้เป็นชี้ตาย ใครมาที่วัดก็ต้องมาพึ่งพาเขา ตัวเขาก็คอยแต่จะติว่า
อย่างนี้คุณทำไม่ได้นะ
อย่างนั้นทำไม่ได้นะ
คุณต้องทำไอ้โน่นไอ้นี่นะ

เขา ก็เลยเป็นพญานาคที่โดดเดี่ยวอยู่ในถ้ำตนเดียว อยู่ในที่มืด ๆ ไม่มีความสว่าง อยู่อย่างนั้นมานาน นานมาก ถ้าคำนวณเป็นเวลาของมนุษย์ก็ประมาณ ๒ ล้านปี ต้องมาอยู่ในที่มืด ๆอยู่คนเดียว ขังอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่อย่างนี้ทรมานอยู่กับความคิดของตน เป็นทุกข์อย่างนี้อยู่ในสภาพที่เป็นพญานาค แต่เนื่องจากว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่มีจิตใจโหดร้าย ไม่ได้อยากทำร้ายใคร ไม่ได้อยากลักทรัพย์ใคร ไม่ได้อยากผิดลูกผิดเมียใคร ของสงฆ์เขาก็ไม่แตะต้อง เขารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ในวัดในวา ของสงฆ์คือของสงฆ์ เขาไม่เอาของสงฆ์มากินมาใช้ กับลูกกับเมียก็ไม่ยอมให้ละเมิดของสงฆ์

ฉะนั้นเรื่องบาปในส่วนที่จะพาเขาไปสู่อบายภูมิมันก็ไม่มี มันก็เลยกลายเป็นพญานาคอยู่แบบนี้ ซึ่งมันก็ยังดีกว่าไปตกนรก

ต่อ มาก็มีพญานาคผู้มีใจเมตตาที่อาศัยอยู่ในถ้ำห่างจากที่เขาอยู่ เป็นพญานาคที่มีอำนาจใหญ่ปกครองอยู่ในเขตนั้น โดยปกติแล้วพญานาคนั้นเขาจะแบ่งเขตปกครองกันออกเป็นโซน ในแต่ละเขตก็จะมีบริวารให้ปกครองเพราะว่าให้ความช่วยเหลือคนอื่นด้วยความยิน ดีเด็มใจ ไม่เหมือนพญานาคสีดำที่ช่วยคนอื่นเพราะว่าในฐานะที่เขาเป็นใหญ่ในการจัดการ จึงไม่ค่อยได้สนใจความรู้สึกของคนที่อยู่รอบ ๆ เขา คิดแต่ว่าคนอื่นต้องมาคอยง้อเขามาพึ่งเขา จึงเป็นผลทำให้พญานาคสีดำนั้นต้องมาอยู่คนเดียว

พญา นาคที่มีสีทองนั้นเป็นพญานาคที่หมั่นทำสมาธิ หมั่นทรงฌานจนเกิดญาณเป็นเครื่องรู้ จึงมีอยู่วันหนึ่งภาพของพญานาคสีดำนั้นก็มาเกิดขึ้นในนิมิตสมาธิของเขาแล้ว ก็เห็นว่าทำไมพญานาคตัวนี้ถึงต้องมาอยู่ตนเดียวในที่อับ ๆ มืด ๆ ไม่สามารถออกมาจากบริเวณถ้ำที่เขาอยู่ได้เลย

ถึง เวลาขึ้น ๑๕ ค่ำ ปากของพญานาคสีดำนี้ก็ไม่สามารถจะทนกับความร้อนที่อยู่ในปากของเขาได้เพราะ ในปากของเขานั้นจะร้อนขึ้นทุกวัน ๆ เพราะว่าสมัยเป็นมนุษย์เขามีวาจาไม่ดี มันก็เลยมีไฟในปาก ถึงเวลาขึ้น ๑๕ ค่ำทีก็จะคายพิษออกมาทางปากครั้งหนึ่ง แล้วพอเลยวันขึ้น ๑๕ ค่ำไปแล้วก็จะเริ่มเก็บความร้อนในปากนี้ไว้ใหม่ การที่เขายังสามารถคายพิษความร้อนในปากได้ในวันนี้ก็เพราะว่าเขาระลึกได้ว่า วันนี้เป็นวันพระ สิ่งที่ทำให้เขาต้องมีไฟความร้อนอยู่ในปากอย่างนี้ ก็เพราะว่าเขาจมอยู่กับความครุ่นคิดของตัวเขา

แต่ อาศัยว่าเขาพอมีบุญที่นึกถึงพระได้ กรรมตัวนี้มันก็เลยคลายตัวลงทำให้เขาหยุดความครุ่นคิดอันนี้ลงได้ ทำให้เขาสามารถคายความร้อนออกมา มันก็พอจะทำให้เขารู้สึกสบายขึ้นได้หน่อย แต่พอเลยวันพระไปแล้วเขาก็กลับมาครุ่นคิดแต่เรื่องที่ขัดแย้งนี้ใหม่ ความร้อนในปากนี้ก็เลยสะสมเอาไว้อีก แต่พญานาคผู้เป็นใหญ่ที่เป็นผู้ดูแลนาคทั้งหลายนั้นเป็นผู้ที่เจริญสมณธรรม นั้นสามารถที่จะควบคุมพิษไฟของพญานาคได้ และสามารถทำให้เกิดไฟขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ อย่างเช่นในเวลาที่เขาโกรธ ซึ่งพญานาคสีดำนี่ทำไม่ได้


เมื่อพญานาคสีทองเห็นเหตุดังนี้แล้วก็จึงรู้สึกสงสาร อยากจะไปช่วยพญานาคท่านก็เลยแปลงเป็นพระสงฆ์ เดินเข้าไปในถ้ำของพญานาคสีดำ แล้วก็เอ่ยถามว่า ท่าน ทำไมถึงอยู่ด้วยความทุกขเวทนาอย่างนี้ ท่านอยากจะออกจากที่นี่ไหม?
พญา นาคสีดำตนนั้นพอเห็นพระเข้าก็รู้สึกสลดใจ เพราะเขารู้สึกเสียใจ เนื่องจากพอได้อยู่ในถ้ำนาน ๆ เข้าเนี่ยก็ระลึกได้แล้วว่าไอ้สิ่งที่พูดที่ทำไปในสมัยเป็นมนุษย์นั้นมันไม่ ดี คือ เขาสำนึก ได้แล้วว่าตัวของเขาเป็นฆราวาสนั้นมีศีลแค่ ๕ ข้อ แต่พระน่ะมีศีล ๒๒๗ ข้อ ถึงแม้พระท่านจะยังเป็นผู้ที่ปฏิบัติยังไม่ดียังไม่งดงามเท่าไรแต่ว่าท่านก็ อยู่ในฐานะที่สูงกว่าเพราะท่านมีศีลมากกว่า

เขา สำนึกได้แล้วว่าตัวเขานี่เลวเกินไปที่ทำตัวเป็นนายพระ เขารู้สึกเสียใจเสมอว่า เขาไม่ควรทำอย่างนั้นเลย เขาก็มีความเศร้าหมอง ทำให้ผิวพรรณมันคล้ำอยู่อย่างนี้ไม่มีความสว่างสดใส พอเขาเห็นผ้าเหลืองเห็นพระเดินเข้ามาเขาจึงเสียใจ ร้องไห้ ก้มลงกราบพระ ท่านพญานาคที่แปลงมาเป็นพระก็ได้กล่าวว่า

ท่านอย่า เสียใจเลย ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยผิดมาก่อน อย่าตามนึกถึงสิ่งที่เป็นความทุกข์และโศกเศร้ามาแต่กาลก่อนเลย ท่านจงตั้งใจมองไปเบื้องหน้าเถอะว่าชีวิตเรามันยังมีเวลาที่จะเห็นแสงสว่าง รออยู่ ทางสว่างของท่านยังมีอยู่ อย่ามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้เลย ตามเราไปเถอะ”

พญา นาคสีดำตนนั้นก็ตามพระไป พาไปอยู่ในที่ ๆ หนึ่ง พอจิตเขาคลายตัวลงจากความโศกเศร้าลง ถ้ำก็สว่างขึ้น สีตัวของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอร่ามเพราะเขาติดใจสีจีวรของพระ แล้วเขาก็เลื้อยเข้าไปขดตัวอยู่บนตั่งในถ้ำของเขา แล้วพญานาคก็บอกว่า

“ท่าน ผู้เจริญ ท่านจงรักษาใจของท่านเถิดอย่ามัวแต่คิดให้มีความเศร้าหมองเลย ใจของท่านนึกถึงสิ่งใดแล้วเป็นสุขจงพยายามนึกถึงสิ่งนั้น อย่าไปนึกถึงสิ่งที่เป็นความเศร้าหมอง”

พญา นาคสีดำก็เลยนึกถึงผ้าเหลือง เขาคิดว่าพระนี่ล่ะทำให้เขามีความสุข เขาจึงนึกถึงแต่พระ ไม่มีคำภาวนาใดๆเลยนะ นึกถึงภาพพระสงฆ์ นึกถึงจริยาที่พระท่านเดิน พระท่านสวดมนตร์ พระท่านเทศน์

นับวันเวลาผ่าน ๆ ไป กายของเขาก็เริ่มสว่างขึ้น ๆ ผนังถ้ำที่เคยมืดมนก็กลับเป็นสีสว่างดั่งมีเพชรนิลจินดาประดับ ความเป็นทิพย์เริ่มดีขึ้น สดใสมากขึ้น จนเขาลืมตาขึ้นมาอีกทีก็แปลกใจว่า ทำไมกายเขาจึงมีความสว่าง ผนังถ้ำก็สว่างไสว ตั่งเตียงที่เคยนอนก็มีความสว่างมีเพชรนิลจินดา

นี่เป็นผลจากการสรรเสริญคุณของพระสงฆ์ เขานึกถึงเสมอ นึกถึงความดีของพระ นึกจนทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด พอระยะเวลาผ่านไปเขาก็คิดสงสัยว่าท่านผู้ใดเป็นผู้มีคุณแก่เราหนอ พระองค์ใดที่มีพระคุณแก่เรา ทีนี้พอจิตของเขามีความสงบ ไม่มีความเศร้าหมอง ความเป็นทิพย์ก็เกิด เขาก็เห็นภาพพญานาคซ้อนอยู่ในอกพระที่เขาเห็น เขาก็นึกรู้ว่านี่ไม่ใช่พระแต่เป็นท่านพญานาค เขาก็เลยเข้าไปหา

พอเข้าไปในถ้ำที่เป็นอาณาเขตของท่านพญานาคปุ๊บร่างกายเขาก็เปลี่ยนไปกลาย เป็นเทวดาทันที เพราะเนื่องจากมันเป็นเขตของผู้มีศีล ทรงสมาธิ พอเข้าไปในเขตนั้นสัตว์เดรัจฉานใดๆก็เปลี่ยนร่างได้ เขาก็สงสัยว่าทำไมท่านจึงสามารถเปลี่ยนร่างเป็นพระสงฆ์ได้ทั้งที่แท้จริง แล้วท่านเป็นงู (พญานาคก็คืองูประเภทหนึ่ง) ท่านพญานาคก็ตอบว่า

“งู เป็นของภายนอก เป็นกายหยาบไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราคือจิตที่ตั้งอยู่ในการเคารพพระรัตนตรัย รักษาศีลทำสมาธิจิตสงบว่างจากความชั่วทั้งหลาย เราจึงมีสภาพคล้ายกับพระแต่เราไม่ใช่พระ เราจึงสามารถทำร่างกายให้คล้ายกับพระสงฆ์ได้ ท่านจึงสามารถเห็นเราได้อย่างนั้น”


พญานาคสีดำก็เลยถามว่า “แล้วกระผมจะสามารถทำได้อย่างนั้นหรือไม่?”

ท่านพญานาคก็ตอบว่า ทำ ได้สิท่านผู้เจริญ จงละเว้นใจของท่านที่จะคิดเบียดเบียนใครเขา ไม่ว่าคนไม่ว่าสัตว์ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใด ๆ เราจะไม่เบียดเบียนเขา จงเห็นเขาด้วยความสงสาร ว่าเขาเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เป็นไปด้วยความทุกข์ แม้เป็นมนุษย์ก็มีแต่ความทุกข์ทั้งสิ้น เกิดมาเพื่อเจ็บไข้ไม่สบาย เกิดมาเพื่อทนทุกข์เวทนาจากการงาน เกิดมาเพื่อรอแต่ความตายความพลัดพราก จงอย่ามีความคิดเห็นไปเพื่อเบียดเบียนกันเลย”

ซึ่งตัวของพญานาคสีดำเองนี่โดยธรรมดาสมัยที่เป็นมนุษย์เขาก็ไม่เบียดเบียนใครอยู่แล้ว เขาก็รับปากว่า “ผมทำได้ครับ ไม่ยาก”
ท่านพญานาคก็พูดต่อว่า “แต่ท่านต้องทำด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์นะ”
พญานาคสีดำก็แย้งว่า “ผมไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าครับ”

ท่านพญานาคก็ตอบว่า“งั้น ไปกับเราสิ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากัน เวลานี้พระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาอยู่ที่ริมแม่น้ำทางด้านทิศเหนือของเรา ห่างจากนี่ไม่ไกลนัก เราไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากัน แต่เวลานี้ยังเป็นเวลาที่ยังไม่เหมาะสมนักเพราะว่ายังมีคนที่มาเข้าเฝ้าพระ พุทธเจ้าอยู่ รอให้เวลาล่วงไปเป็นเวลาที่ตะวันตกดินก่อน เราค่อยไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากัน”

พอถึงเวลา พญานาคทั้งสองก็พากันไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าทรงทราบวาระนั้นจึงทรงยังไม่เสด็จกลับที่พัก พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระนามว่า "กกุสันโธ "

เมื่อ ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพวกเขาก็แปลงกายไปเป็นมนุษย์ที่แต่งตัวสวยงาม กิริยามารยาทเรียบร้อยเข้าไปกราบ พระองค์ก็ทรงเห็นแล้ว ทรงลืมพระเนตรแล้วทรงตรัสว่า

“ปุ ริสสะ บุรุษผู้เจริญ ความดีเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ไกลตัวของเธอหรอก ความชั่วอย่าแตะต้อง มันเป็นภัยใหญ่หลวง จงดำเนินอย่างพระอริยะทั้งหลายผู้ตั้งใจปฏิบัติ เบื้องหน้าเธอจะพ้นวิบากแห่งกรรมทั้งหลาย”

แล้วพญานาคสีดำก็ถามว่า ความเป็นพระอริยบุคคลของมนุษย์นั้นเขาเป็นด้วยเหตุใด พระองค์ก็ทรงตรัสว่า

บุคคล ที่ถึงซึ่งความเป็นพระอริยะเหล่านี้เป็นบุคคลผู้ซึ่งมีจิตใจอ่อนโยน มีความกตัญญูกตเวทีเป็นที่ตั้ง เป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารว่าเป็นของน่ากลัวของตนเองและบุคคลอื่น ให้ความรักและความอ่อนโยนแก่บุคคลทั้งหลายด้วยความเมตตาสงสารเท่าตน เป็นผู้มีจิตปรารถนาที่จะพ้นจากความทุกข์โดยแท้ เป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหวในคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์แน่ เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ด้วยความจริง คือไม่ประมาทในสิ่งที่เป็นจริงอยู่ ระลึกอยู่เสมอว่าทุกชีวิตที่เกิดมานั้นไม่ว่าเราตถาคต หรือแม้สัตว์อื่นอย่างพญานาคก็ต้องมีวันที่จบจากการมีกายอย่างนี้ คือ ตาย เป็นความจริงโดยแท้ เบื้องหน้าของเราคือการที่เราจะไม่มีกายแบบนี้อีก

พระ อริยะทั้งหลายจึงไม่มัวหมกมุ่นอยู่กับกายอันเป็นของหยาบ ที่เต็มไปด้วยเรือนร่างให้แต่ความทุกข์อยู่เสมอ เป็นผู้ตั้งรู้อยู่ว่ากายนี้จะต้องอนิจจา จะต้องอันตรธานดับไปในที่สิ้นสุด ทั้งหมดไม่ว่าจะปรากฎอยู่ในโลกนี้ไม่ว่าอะไรจะเป็นสุขอยู่ก็ตาม พระอริยะทั้ง หลายกลับเห็นว่าเป็นเหตุแห่งความโศกเศร้าสูญเสีย เป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย พระอริยะคิดกันอย่างนี้เป็นปกติ

พญา นาคทั้งสองก็ก้มกราบพระพุทธเจ้า แล้วพระองค์ก็ทรงให้พร ขอความเจริญจงได้ปรากฎแก่เธอทั้งสอง แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับ แล้วพญานาคก็กลับไปอยู่ถ้ำของตน นึกถึงคำสั่งสอนของพระองค์ พยายามทำจิตใจของตนให้คล้ายกับพระอริยะ แต่บรรลุไม่ได้เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีความเคารพจริงในคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ถึงจะเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ตั้งมั่นถึงจะมีความเข้าใจในความทุกข์ทั้งหลาย แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ถึง ซึ่งความเป็นพระอริยบุคคลได้ จนไม่นานนักทั้งสองท่านก็ละอัตภาพจากความเป็นสัตว์ไป แล้วไปเกิดที่พรหมโลกด้วยกันทั้งคู่


ที่มา : นิทานโดยท่านจิตโต ��ҹҤ��Ǵ� - �ҹ�ط���ʹ�
เชิญท่านผู้มีบุญร่วมสร้างพระมหาเจดีย์ฯ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ถวายเป็นพุทธบูชา
http://www.dhammakaya.org/news/jetiya.php

No comments: