9/10/2009

กรรมของแม่ค้าขายปลา




บริเวณตลาดหลังห้างสรรพสินค้านิวเวิล์ด ในช่วงเช้า บรรดาร้านค้าแผงลอบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของใช้ อาหารและของสด
เช่น พวกกุ้ง หอย ปู ปลา ที่แม้ค้านำใส่กะละมังมาวางขาย ผู้คนพลุกพล่านมาจ่ายตลาด ตั้งแต่ก่อนหกโมงเช้า
บรรยากาศของที่นี่ไม่ผิดกับตลาดทั่วๆไปซึ่งมีคนเดินไปมาตลอดเวลา ยิ่งถ้าวันไหนฝนตกพื้นก็จะเฉอะแฉะ บ้างก็มีน้ำขัง
แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับบรรดาแม่ค้าพ่อค้า ที่จำเป็นต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อหาเงินทองมาเลี้ยงปากท้อง
"น้าหวาน วันนี้ปลาช่อนตัวเล็กๆหน่อยไม่มีเหรอ"

ลูกค้าขาประจำที่รู้ว่า ถ้าจะซื้อปลาช่อนสดๆ ต้องมาที่นี่ ยืนมองดูปลาในกะละมังที่วางอยู่กับพื้นอยู่นาน คล้ายกับจะตัดสินใจไม่ได้ และเอ่ยปากถามเสียงใส
"ไม่มีจ้า วันนี้ตัวกำลังงาม ไม่โตเกินหรอก เอากี่ตัวดีล่ะ"
"อืม เอาสองตัวแล้วกัน จะไปทำต้มยำ แต่ตัวเป็นๆไม่เอานะ เดี๋ยวแวะซื้อของเสร็จแล้วกลับมาเอา"

คำว่าไม่เอาตัวเป็นๆ หมายความว่าช่วยฆ่าพร้อมกับชำแหละให้ด้วย เป็นการสั่งฆ่าที่อาจทำให้พวกเขาสบายใจขึ้นมาได้บ้าง และพูดได้สนิทปากไม่เคอะเขิน
แต่นั่นแหละการทำบาปไม่ว่าจะทางกาย วาจา และจิตใจ ขึ้นอยู่กับเจตนา ถ้าตั้งใจที่จะฆ่าแล้ว ไม่ว่าจะออกคำสั่งเองหรือไม่ หากสัตว์ตายเพราะเจตนานั้น
ก็ไม่พ้นจากผลบาปแน่นอน แม้เจตนานำสัตว์มาขายเพื่อเป็นอาหาร ถึงไม่ได้ฆ่าเองก็เป็นบาปเป็นเวรกรรมผูกพันกันได้เช่นกัน
มีหลายคนที่เที่ยวเดินวนไปเวียนมาแถวๆตลาดสด พอแม่ค้าถามว่า
"ต้องการอะไรจ๊ะ"
ก็ตอบว่า จะหาปลาพวกนี้ ตัวที่มันตายแล้ว จะเอาไปทำต้ม ทำแกงหน่อย พลางชี้ไปที่ถาดปลาแล้วก็เดินผ่านเลยไป พอเดินย้อนกลับมาแม่ค้าทำปลาเรียบร้อยแล้ว
อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการสั่งฆ่าเช่นกัน คนเราขึ้นชื่อว่าตั้งใจจะทำบาป จะทำในบ้านหรือนอกบ้านหรือทำที่ไหนไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อทำเสร็จก็มีบาปติดตัวทั้งนั้น

น้าหวานทำอาชีพนี้มานาน วิธีขายของแกก็จะนำปลาช่อนสดๆ ตัวเป็นๆใส่อ่างหรือถาด หรือกะละมังใช้น้ำหล่อนิดหน่อย มาวางขาย เวลามีคนมาซื้อชี้เอาตัวไหน
แกก็จะนำตัวนั้นขึ้นมาแล้ว ใช้ค้อนทุบหัว ขอดเกล็ดผ่าท้องเอากระเพาะออกบ้าง หั่นเป็นชิ้นๆบ้าง ตามที่ผู้ซื้อจะสั่งเพื่อนำไปประกอบอาหารประเภทใด
แกทำอย่างชำนิชำนาญจนเกิดอาการชิน ไม่รู้สึกว่าน่าเกลียดหรือเป็นบาปเป็นกรรมไม่ดีแต่อย่างใด
บางคนหรือแม้แต่ร้านที่ตั้งขายติดกัน เมื่อพบหรือได้เห็นการกระทำของแก ก็จะรู้สึกว่าไม่น่าดู ทารุณโหดร้ายน่ากลัว แต่สำหรับแกเองแล้วรู้สึกว่า
มันคืออาชีพที่จะช่วยหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และเลี้ยงครอบครัวให้อยู่รอด ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรกลับเป็นสิ่งดีต่างหาก
เพราะในความคิดของแกเองแล้ว คำว่า อาชีพสุจริต คือการไม่ไปลักขโมย ไม่ปล้นจี้ ไม่ฉกชิงวิ่งราวนำทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง
การเป็นแม่ค้าขายปลาสดก็ถือว่าเป็นสัมมาชีพ ไม่เห็นว่าจะเสียหายอะไร
แต่ใครจะกล้ารับรองได้ว่า สิ่งที่แกทำลงไปทุกวันนั้น วันหนึ่งมันจะไม่ย้อนกลับมาให้ผลทำให้แกต้องเจ็บปวด
มีสภาพเหมือนปลาช่อนที่ถูกแกทุบหัวทุกวันไม่มีผิดและแล้ววันนั้นก็มาถึงจนได้ คือ...

เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณแปดโมงเช้าเศษๆ ในช่วงที่ตลาดกำลังจะเลิกผู้คนก็บางตา เป็นช่วงที่ฝนกำลังตกพรำๆ บรรดาแม่ค้าที่ออกมาขายของ
ตั้งแต่เช้ามืด ก็เริ่มจะเก็บของเตรียมขนสัมภาระกลับบ้าน ทันใดนั้นเอง ฝูงชนทั้งแม่ค้า และคนที่ยังคงเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้นก็ต้องหวีดร้องเอะอะโวยวายและแตกตื่น
ทำให้ผู้คนใกล้เคียงตระหนกตกใจตามๆกัน ทั้งเสียงร้อง เสียงพูดวิพากษ์วิจารณ์และเสียงคนร้องไห้แทบฟังไม่ได้ศัพท์ ผลปรากฏว่า
เครื่องแอร์ขนาดใหญ่ที่ห้อยออกมานอกอาคาร อยู่ๆเกิดหล่นลงมา
แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญที่ตกลงมาตรงร้านแผงลอยของน้าหวานแม่ค้าขายปลาช่อนพอดี
ในขณะที่แกกำลังนั่งเตรียมเก็บถาดและกะละมังปลาที่ขายหมดแล้วอย่างขมีขมัน
ด้วยความมั่นใจว่าวันนี้มีกำไรแน่ เพราะปลาที่แกรับมา
แกขายจนหมดเกลี้ยงและเครื่องแอร์ได้หล่นลงทับศีรษะของแกพอดี
"ฮื้อ ฮื้อ... สภาพของแกเหมือนปลาช่อนที่ถูกแกทุบหัวเป็นประจำทุกวัน"
"ยี้ น่าเกลียดอะไรอย่างนั้น"
"ดูสิ หัวแบน เลือดไหลนองเลย"

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ อื้ออึง กว่าทุกคนจะได้สติมาช่วยกันยกเครื่องแอร์ออก
และรีบแจ้งตำรวจพร้อมเจ้าหน้าที่ทีเกี่ยวข้องมาดู ก็ปล่อยให้ผ่านไปเกือบสิบนาที
ศีรษะของหน้าหวานแม่ค้าขายปลาช่อน เละแบนเลือดไหลโชกไม่ผิดกับปลาช่อนที่ถูกแกทุบหัวอยู่ประจำ
จากเรื่องราวประสบการณ์เรื่องจริงดังกล่าว
ทำให้เกิดมุมมองว่าคนเรามักเข้าข้างตัวเองเสมอ
จนกระทั่งเกิดความเคยชิน เช่นเข้าใจว่าพวกสัตว์ต่างๆเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของตน

การที่คนเราต้องกินกุ้ง หอย ปู ปลา เป็ด สุกร และอื่นๆ อีกมากมาย สารพัดที่จะจัดการกับชีวิตของสัตว์อื่น แต่ไม่ต้องการให้สัตว์อื่นมาทำร้ายตัวเอง
หากเป็นเช่นนั้นก็จะหาทางป้องกันตัวเองจนสุดชีวิต ถือเป็นวัฏจักรของการดำรงชีวิตเป็นธรรมชาติทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างนั้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนคิดและสมมติกันขึ้นมาเองทั้งสิ้น เพื่อให้ตัวเองซึ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบ พ้นจากการถูกเข้าใจว่าเป็นผู้เบียดเบียน ทำให้สัตว์อื่นต้องเดือดร้อน
แต่การที่คนและสัตว์ ต้องมาเกี่ยวข้องกันต้องเข่นฆ่าเบียดเบียนทำร้ายกันและกันที่เป็นอยู่ทุก วันนี้ ก็เพราะพวกเขามีบาปกรรมเวรกรรมที่ผูกพันกันมาแต่อดีต
เคยล่วงเกินเข่นฆ่าทำร้ายเขาเอาไว้
ก็ถูกล่วงเกินเข่นฆ่าทำร้ายตอบสนองคืนข้ามภพข้ามชาติ
ไปจนกว่าจะยุติลงด้วยการอโหสิ ไม่ถือโทษต่อกันอีก
ดังนั้นผู้ต้องการหยุดการโคจรของบาปกรรม
ไม่ต้องการให้ชีวิตต้องไปเกี่ยวข้องกับบาปกรรมอย่างถาวร ต้องหยุดก่อบาปทุกอย่าง
ดังคำพระที่ว่า...." เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร... "

(จากบทความของคุณดวงตา ครองกิจการ )

No comments: