ถาม : พระโสดาบันเล่นหุ้นเล่นหวย ?
ตอบ: อ๋อ...ถ้าหากว่าได้มาโดยไม่ผิดศีลผิดธรรม ท่านยังทำเป็นปกติจ้ะ ไม่เกี่ยวเรื่องรับเงิน
ถาม : แล้วพระสกิทาคา ?
ตอบ: อันนั้นเริ่มจืดสนิทแล้วจ้ะ สกิทาคามีต้องดูตัวอย่างที่ชัดที่สุด ก็คือ พระมหากัสสป กับนางภัททกาปิลานี พระมหากัสสปนี่แม่มอบสมบัติให้ หวังจะให้ลูกจรรโลงให้รุ่งเรืองไป แต่ว่าท่านไม่ได้คิดใยดีในสมบัติอยากจะบวชอย่างเดียว นางภัททกาปิลานีก็เหมือนกัน แต่ว่าต่างคนต่างไม่ได้บอกกัน พอถึงเวลาเขาจับแต่งงานกัน แต่งก็แต่ง เคารพผู้ใหญ่นี่ไม่กล้าเถียง ไม่กล้าบอกใช่ไหม ? ถึงเวลากลางคืน นอนห้องเดียวกัน ก็เอาพวงมาลัยคั่นกลางไว้ ต่างคนต่างหันหลังให้กัน ลักษณะอย่างนั้น ถ้าไม่ถึงสกิทาคามี ทำไม่ได้หรอก ยังไงกามราคะมันต้องกำเริบแน่ จะหนักจะเบามันต้องมี ถ้าทำได้ขนาดนั้นมันต้องใช่ แล้วเสร็จแล้วรอจนพ่อแม่ตาย อึดขนาดไหน ? รอจนพ่อแม่ตาย พระมหากัสสปในตอนที่เป็นปิปผลิมาณพ ก็บอก นางภัททกาปิลานีว่า ภคินี ดูก่อนน้องหญิง สมบัติทั้งหลายของเรา เธอจงเอาไป ส่วนเราจะออกบวชนะ นางภัททกาปิลานีก็บอกว่า สมบัติทั้งหลายของท่านเหมือนน้ำลายที่ถ่มทิ้งแล้ว เรื่องอะไรเราจะรับเอาไว้ เราก็จะบวชเหมือนกัน
ในเมื่อใจเดียวกันก็เลยประกาศบอกว่า มหาชนใดก็ตามที่ต้องการสมบัติเห็นปานนี้ก็จงมา ทั้งหมดก็มาก็แบ่งสันปันส่วนกันไป ๒ คนก็ประเภทเหลือแต่ตัว นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร ตั้งใจว่าพระอรหันต์อยู่ที่ไหนในโลก ก็ตั้งใจจะบวชเพื่ออุทิศพระอรหันต์องค์นั้น แล้วก็ออกเดินทาง ปรากฏว่าไปถึงทางแยก คนหนึ่งก็ไปซ้าย คนหนึ่งก็ไปขวา หมดเรื่องไป พระมหากัสสปเดินไปถึง พหุปัตตนิโครธ พบพระพุทธเจ้านั่ง รอยอยู่ท่านตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลกตั้งแต่เช้าแล้วว่า ต้องไปโปรด รับฟังธรรม รับโอวาท ๓ ข้อ เสร็จเรียบร้อย ปฏิบัติกลายเป็นพระอรหันต์ นางภัททกาปิลานีเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง เจอสำนักภิกษุณีไปปฏิบัติกลายเป็นพระอรหันต์
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เพราะว่าพระสกิทาคามีนี่ ราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลงมาก พูดง่ายๆ ก็คือว่าร้อยวันพันปีอาจจะนึกสักแวบหนึ่งว่า เออ...คนโน้นก็สวยดี คนนั้นก็หล่อดี แล้วมันก็แค่นั้น เพราะว่าสติสมบูรณ์มากแล้ว พอนึกได้อารมณ์ใจก็เริ่มตัด มันก็หายไป อยู่ต่อไม่ได้ ดังนั้น ถ้าหากว่าไปแล้ว ว่าพระสกิทาคามียังเล่นหวยเล่นหุ้นไหม ? ถ้าถึงระดับนั้นไม่เอาจ้ะ ทุกอย่างมันเซ็งไปหมดแล้ว ไม่เป็นรสเป็นชาติ
คราวนี้ในเรื่องของอารมณ์กามราคะ ถ้าพระโสดาบันยังเป็นปกติ แต่ว่าจะไม่ฝืนในกาเมสุมิจฉาจาร คือหมายความว่า ถ้าหากว่าประเภทไปล่วงเกินบุคคลที่มีเจ้าของจะไม่ทำ ถ้าเจ้าของเขาไม่ได้อนุญาตนี่จะไม่มี พระสกิทาคามีนี่มันน่าจะเหลือแต่กามราคานุสัย ก็คือว่า สิ่งที่มันนอนเนื่องในสันดาน นานๆ มันก็โผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง แต่ว่ากำลังใจถ้าละเอียดก็เลยตัดได้ ในเรื่องของพระอนาคามี ต้องใช้คำพูดว่า อยากจะบอกว่าส่วนต่างๆ ของร่างกาย ที่จะสร้างฮอร์โมนต่างๆ เกี่ยวกับทางกาม มันคงจะเลิกทำงานไปเลย
เจอสาวๆ คนหนึ่งสมัยก่อนบวช อายุน่าจะประมาณ ๒๕-๒๖ ปี แต่งตัวสวยพริ้งอยู่ทุกวัน ใช้เปลือกเพื่อปิดตัวเอง กลัวคนจะรู้ว่าเป็นนักปฏิบัติ แต่จริงๆ แล้วเป็นพระอริยเจ้า อยากจะเชื่อว่าเป็นพระอนาคามี ถามท่านว่า เมื่อทำถึงแล้วจะเป็นอย่างไร ? ท่านบอกว่า ร่างกายส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกามราคะ มันเหมือนหยุดทำงานหมด กระทั่งประจำเดือนก็หายไปเฉยๆ (หัวเราะ) ไม่น่าเป็นไปได้
ถาม : อายุ ๒๕ นี่นะคะ ไม่มี
ตอบ: จ้า... ๒๕ จ้ะ ไม่ใช่ ๕๕ (หัวเราะ) คือพอทำถึงปุ๊บ เหมือนกับว่าส่วนต่างๆ ที่จะเกี่ยวในเรื่องของกามมันหยุดหมดเลย เลิกทำงานไปเลย จะเป็นวิธีพิลึกพิลั่นอะไรก็แล้วแต่เถอะ เป็นอันว่ามันหยุดก็แล้วกัน ดังนั้นว่าน่าจะหมดตั้งแต่ตอนนี้ละ ในเรื่องของกามราคะของพระอรหันต์ก็คงไม่ต้องกล่าวถึง เดี๋ยวจะเล่าเรื่องต่อให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องสาวคนนี้ เอาอีกหน่อยหนึ่ง คราวนี้สาวคนนี้เธอมีสามีเป็นปกติ ในเมื่อมีสามีเป็นปกติ พอมาถึงจุดนี้ ก็บอกกับสามีว่า ตอนนี้เรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์นี่ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันแล้วนะ จะมีเมียน้อยกี่คนก็อนุญาตให้ จะไปเที่ยวอาบ อบ นวด ยังไงก็เชิญ หัวหกก้นขวิดขนาดไหนก็ไม่ว่า คนเรามันแปลก อะไรที่เขาหวงมันชอบ อนุญาตขนาดนั้นแล้ว ไปซ่าส์นอกบ้านได้ไม่นาน ก็คิดถึงเมียกูในบ้าน ถึงเวลาก็กลับบ้าน วันนี้ยังไงกูปล้ำเมียตัวเองแน่ ! พอมาถึงจับตัวปั๊บ ปรากฏว่า มันอัศจรรย์คงเป็นเรื่องบุญ เพราะว่าตัวเมียร้อนฉ่า จนผัวตกใจ คิดว่าไม่สบายหนักขนาดนี้แล้วทำไมไม่กินยา ไม่รักษาอะไร รายโน้นก็เออๆ คะๆ ไปตามเรื่อง ก็รอดไป ปรากฎว่า วันต่อมา ผัวเมากลับมา เอ๊า! ป่วยก็ป่วยละวะ กูไม่เว้นแล้ว จะปล้ำเมียตัวเอง ปรากฏว่า วันนั้น เมียก็ไม่รู้ว่า ? น่าจะเป็นเทวดาช่วย เอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนไม่รู้ ตบผัวเปรี้ยงเดียว กระเด็นติดข้างฝาเลย แล้วเสียงที่ดังออกมา ผัวเขาบอกว่า “ต่อไปนี้ ถ้าหากยุ่งกับผู้หญิงคนนี้อีก จะเอาให้ถึงตาย” น่าจะเป็นเรื่องของเทวดาที่เขารักษา กลัวว่าการล่วงเกินพระอริยเจ้าระดับนั้น มันจะเป็นโทษสาหัส ไม่น่าเชื่อ ผู้หญิงตัวเล็กๆ ตบผัวทีเดียวปลิวติดข้างฝาเลย (หัวเราะ)
นั่นแหละ ตัวอย่างเห็นชัดๆ แต่ถ้าเราเห็นเปลือกนอกเขาจะไม่รู้เลย ที่ไม่รู้เพราะว่า เขายังแต่งหน้าสวยพริ้งตามปกติ ลักษณะนั้นแหละคือ ลักษณะที่ว่าปิดตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองทำอะไร แต่อันนี้ไม่ยืนยันนะ เพราะว่าอาตมาไม่ใช่ผู้หญิง ก็เลยไม่กล้ายืนยันว่า ถ้าเป็นพระอริยเจ้าขึ้นไปถึงระดับนั้นแล้วร่างกายจะหยุดทำงานเหมือนสาวคน นั้นมั้ย ? (หัวเราะ)
ถาม : ต้องหาซัก ๒-๓ ตัวอย่าง ใช่เปล่าคะ ?
ตอบ: มันจะต้องเป็นเอง มันถึงจะยืนยันได้ (หัวเราะ)
ถาม : แล้วความผูกพันล่ะครับ ?
ตอบ: ความผูกพัน ความห่วงใย เป็นปกติ สำหรับพระอริยเจ้า อยากจะบอกในลักษณะเหมือนกับปรามาสพระรัตนตรัย แต่โปรดฟังให้จบ พระ พุทธเจ้าก็ห่วงใยครอบครัวท่านเป็นปกติ ถ้าไม่ห่วง ท่านก็ไม่เสด็จไปโปรดพุทธมารดา ไม่ห่วง ท่านก็ไม่เสด็จไปโปรดพุทธบิดา พร้อมพระประยูรญาติ ไม่ห่วงท่านก็ไม่เสด็จไปโปรดพระนางพิมพาพร้อมกับพระราหุล ท่านก็ห่วงเป็นปกติ พระสารีบุตรเองเป็นโรค ต้องใช้คำว่า “กระเพาะทะลุ” พูดอย่างอื่นแล้วฟังยาก ถ่ายเป็นเลือดอยู่ตลอด รู้ตัวว่าจะนิพพานคือ ตายแน่ๆ แล้ว ก็ยังคิดว่า แม่เราเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ มีลูกตั้ง ๗ คน เป็นอรหันต์หมดเลยบ้านนี้ แต่แม่เป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ต้องกลับไปสงเคราะห์แม่ตัวเอง ถ้าไม่ห่วงแล้วจะไปทำไม แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ท่านทำตามหน้าที่ของตัว ถ้าทำดีที่สุดแล้ว สงเคราะห์ไม่ได้ท่านจะปล่อยวาง มัน ไม่เหมือนพวกเราตรงที่ว่า พวกเราถ้าหากว่าทำไม่ได้ ก็จะไปกลุ้มไปกังวลอยู่ ใจมันหมอง แต่ว่าท่านผ่องใสเป็นปกติ ทำแค่ตามหน้าที่เท่านั้น ประเภทที่พูดง่ายๆ แบบเล่นลิ้นว่า “ห่วงใย แต่ไม่ผูกพัน” อะไรทำนองนั้น
ถาม : (ไม่ชัด) สังเกตุร่างกาย
ตอบ: ท่านปิงกลัวว่าเป็นผู้ชาย ถ้าถึงตรงนั้นแล้วมันจะเหี่ยว บอกแล้วว่าไม่ยืนยัน ใครทำถึงก็รู้เองล่ะ แล้วอีกคนหนึ่งก็...ที่หลวงพ่อเล่าไว้ในน่าจะหนังสืออ่านเล่นมั้ง ที่เด็กผู้หญิงอายุ ๕ ขวบ แล้วก็ตายโดยที่ยังไม่หมดอายุ แล้วเด็กผู้หญิงคนนี้ก็ร้องไห้อยู่ที่ตำหนักพระยายม ร้องจะหาแต่หลวงพ่อ ปกติที่ไปลงตรงนั้น บารมี ต้องใช้คำว่า บารมีของพระยายมท่าน ข่มอยู่สนิททุกรายอาละวาดไม่ออกหรอก แต่เด็กคนนี้จะหาหลวงพ่อ จะหาหลวงพ่อ(หัวเราะ) เทวทูตต้องมาตามหลวงพ่อไป ไปถึงพระยายมท่านก็ชี้แจงว่า เด็กคนนี้ถ้าโตขึ้นจะเป็นพระอนาคามี แต่ เธอสวยมาก ถ้าหากว่าเป็นพระอนาคามีแล้วโทษเก่าที่เคยทำอยู่ จะทำให้โดนผู้ชายเบียดเบียน มันจะเกิดโทษมหาศาลสำหรับผู้ที่เบียดเบียนเธอ ก็เลยตัดให้ตายเสียดีกว่า ขึ้นไปต่อเอาข้างบนแล้วกัน ก็มีเหมือนกันนะ ไม่ใช่วาระของอายุ แต่อยู่แล้วจะเป็นโทษต่อคนอื่นเขา แบบเดียวกับพระอรหันต์ว่า ทำไมพอท่านบรรลุแล้ว ถ้าอยู่ในความเป็นฆราวาสถึงอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน แต่ว่าจริงๆ แล้ว ปกติที่หลวงพ่อท่านเจอมา ท่านบอกว่า ถ้า บรรลุตอนกลางคืนจะไม่ได้เห็นตะวันขึ้น ถ้าบรรลุตอนกลางวันจะไม่ได้เห็นตะวันตก ต้องตายก่อนแน่นอน เพราะว่าถ้าอยู่ต่อจะเป็นโทษต่อคนอื่นมาก
เอาตัวอย่างแค่ว่า นางขุชุตตรา นาง ขุชุตตราในชาตินั้นนี่ เพื่อนท่านเป็นภิกษุณีอรหันต์ มาเยี่ยมแล้วนั่งคุยกัน ตัวแกก็แต่งตัวจะออกไปงานเขา ทีนี้เขามานั่งอยู่ขวางทางทำให้เธอหยิบกระเช้าเครื่องแต่งตัวไม่ได้ ก็บอกว่าพระแม่เจ้าโปรดช่วยหยิบส่งให้ดิฉันหน่อย เพื่อนเธอเป็นภิกษุณีอรหันต์ยังไม่พอ ยังเป็นปฏิสัมภิทาญาณด้วย สภาพจิตเร็วมาก มองปั๊บรู้เลย เธอใช้พระอรหันต์เธอต้องเกิดโทษแน่นอน ถ้าเราไม่หยิบให้เธอ เธอโกรธ เธอลง อวจีมหานรกไปเลย แต่ถ้าเราหยิบให้เธอ การใช้พระอรหันต์ทำให้เธอต้องเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ เอาเถอะเกิดเป็นคนใช้เขายังไงก็ยังเบากว่าลงอวเจีมหานรก ก็หยิบส่งให้ นั่นแหละแค่นั้นแหละ
แล้วอีกตัวอย่างก็คือ นางสิริมา ใน ชาติก่อนที่เธอเวียนเทียนอยู่ แล้วมีภิกษุณีอรหันต์องค์หนึ่ง ท่านก็เคี้ยวหมากเป็นปกติ ถึงเวลาบ้วนน้ำหมากละอองน้ำหมากมันกระเด็นไปเปื้อนชายผ้าเข้า เธอก็ด่าเอา บอกว่าหญิงแพศยาที่ไหนถึงได้บ้วนน้ำหมากมากระเด็นถูกผ้าเรา เกิดมาชาติใหม่ต้องไปเป็นหญิงแพศยา คือเป็นหญิงนครโสเภณีไปขายตัวให้เขาอยู่ แล้วก็บอกว่าต้องเป็นอย่างนั้นตลอด ๕๐๐ ชาติ นั่นขนาดอยู่ในอุดมเพส คือเพสของภิกษุ ภิกษุณีที่เขาเคารพอยู่แล่ว ยังเป็นโทษกับคนอื่นขนาดนั้น ถ้า เป็นฆราวาสเขาไม่เกรงใจหรอก ยิ่งประเภทอาวุโสกว่าด้วย เดี๋ยวก็ตบหัวโครมใช้งานไปเลยอะไรอย่างนั้น มันจะเป็นโทษใหญ่ต่อคนอื่นเขา ก็เลยตัดให้ตายซะก่อนดีกว่า อยู่ต่อไปคนพูดปรามาสแม้แต่คำเดียวก็ลงนรก ใช้เธอก็ลงนรก ด่าเธอก็ลงนรก อยู่ไปมีแต่โทษทั้งนั้นก็เลยไปเสียเลยดีกว่า
แต่ถ้าอยู่ในสภาพของพระอย่างนี้ คนเขาให้ความเคารพเป็นปกติอยู่แล้ว จะดีไม่ดีเขาก็ประเภท ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์อยู่แล้ว ไม่มายุ่งมาเกี่ยวด้วย ถึงได้อยู่ได้ แต่ถ้าเป็นฆราวาสหลวงพ่อท่านบอกเท่าที่ท่านดูมา ไม่เคยมีใครอยู่เกินอย่างที่ว่าเลย ใน พระไตรปิฎกบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน ท่านเจอมาจริงๆ อยู่ได้ไม่เคยเกินวัน บรรลุกลางคืนตายไม่ได้เห็นกลางวัน บรรลุกลางวันตายไม่ได้เห็นกลางคืน
สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมกราคม ๒๕๔๗(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
.
สร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก 10 วา
http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=65729
ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ "สมเด็จองค์ปฐม" ก้บวัดธรรมยาน
http://board.palungjit.com/f105/ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์-สมเด็จองค์ปฐม-ก้บวัดธรรมญาณ-119095.html
No comments:
Post a Comment