พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายล้วนตรัสไว้เสมอว่าผู้รู้กาล รู้เวลา รู้ตน รู้บุคคล รู้ประชุมชน นั้นคือ .... เป็นผู้รู้โดยแท้จริง ......
ตามเรื่องราวในสวรรค์ชั้นดุสิตได้เคยนำเสนอในคราวก่อนนั้น ได้กล่าวไว้ถึงบุคคลที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ว่ามีหลายต่อหลายท่านที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ แต่ไม่ได้นำมากล่าวทั้งหมด...... ในที่นี้ ก็ขอยกเอาท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มากล่าวเป็นพอ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จัดเป็นบุคคลตัวอย่างในเรื่อง การให้ทาน เป็นตัวอย่างในการเข้าถึงพระรัตนตรัย มีศรัทธามาก ท่านเป็นอุบาสกที่มีชื่อเสียงมาก จัดเป็นมหาอุบาสกก็ว่าได้ เพราะท่านมีศรัทธา ในทาน ในศีลในธรรม
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้น ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทมากในการบำรุงพระพุทธเจ้าและพระศาสนา ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงยกย่อง ท่านว่า
“เป็นเลิศกว่าบรรดาอุบาสกและบุคคลทั้งหลาย ในด้านการให้ทาน”
ดังนั้น ควรที่จะกล่าวไว้เป็นเครื่องระลึก และเป็นแบบอย่างแก่พุทธศาสนิกชน ในที่นี้จะกล่าวเพียงบางตอนต่อไป........
ประวัติท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีมีนามเดิมว่า “สุทัตตะเศรษฐี” เป็นบุตรของ “ท่านสุมนเศรษฐี" อยู่ในกรุงสาวัตถี ท่านเป็นเศรษฐีที่ใจบุญ ชอบช่วยเหลือคนตกยาก ทำให้ท่านถูกเรียกจากชาวเมืองสาวัตถีว่า “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” แปลว่า เศรษฐีผู้เป็นที่พึ่งของคนยาก
ท่านอนาถบิณฑิกะมีภรรยาชื่อว่า “บุญญลักษณา” ซึ่งเป็นน้องสาวของเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ ที่มีชื่อว่า “ราชคฤหเศรษฐี” ส่วนน้องสาวของท่านอนาถบิณฑิกะก็เป็นภรรยาของราชคฤหเศรษฐีเช่นกัน ทั้งสองท่านจึงเป็นสหายกันด้วย
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จัดเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยมีกองเกวียนมาก และมักเดินทางไปค้าขายในต่างเมืองเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่ง ท่านได้เดินทางไปค้าขายที่กรุงราชคฤห์ และได้ไปพักอยู่ที่บ้านของท่านราชคฤหเศรษฐี ซึ่งเป็นพี่เขยนั้น จัดเป็นเศรษฐีคนหนึ่งในกรุงราชคฤห์
ในขณะที่พักอยู่นั้นก็ได้เห็น ท่านราชคฤหเศรษฐีตระเตรียมทานเป็นอันมาก จึงเกิดสงสัยว่า ที่บ้านจะมีพระราชาเสด็จ หรือมีงานมงคลอย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังนั้น จึงกล่าวถามท่านราชคฤหเศรษฐีว่า "ที่บ้านท่านจะมีงานอะไรหรือ " ก็ได้รับคำตอบว่า"พระพุทธเจ้าจะเสด็จมา รับพระกระยาหารที่บ้านเราในตอนรุ่งเช้า"
เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ฟังว่า"พระพุทธเจ้า" เท่านั้นก็ดีใจ เบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก.... ในคืนนั้นท่านนอนไม่หลับ เพราะอยากไปเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงตื่นถึงสามครั้งในคืนนั้น พอใกล้รุ่งแล้วตนเองทนไม่ไหวจึงออกเดินไปเฝ้าพระพุทธเจ้า.....
ในตอนนั้นพระพุทธเจ้าพักอยู่ที่ "สีตวัน" เมื่อทรงเห็นท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้ว ก็ทรงตรัสเรียกชื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า "ท่านสุทัตตะ เชิญเข้ามา" ท่านอนาถบิณฑิกะ ปลื้มใจมาก ที่พระพุทธเจ้าเรียกชื่อเดิมตน โดยไม่มีใครเคยเรียกเลย
เมื่อ พูดคุยถามแล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงอนุปุพพิกถา ที่พรรณนาเรื่องทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม และอานิสงส์การออกบวช แล้วก็จบลงด้วยอริยสัจ 4 เมื่อฟังแล้ว ท่านก็สำเร็จเป็นพระโสดาบัน .......
ต่อมาท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้อาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมเหล่าพระสาวกไปกรุงสาวัตถี แต่พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
"ตถาคตเจ้าทั้งหลาย ย่อมยินดีในที่ที่สงบเงียบ"
จากนั้นท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็เข้าใจ จึงเดินทางกลับกรุงสาวัตถีก่อน ที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จมา
ในตำรากล่าวว่า ในระหว่างที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเดิน ทางกลับนั้น ท่านได้ให้คนสร้างศาลาที่พักไว้ ทุก ๆ ๑ โยชน์ และทุก ๆ ศาลาก็ให้จัดอาหารไว้ เพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าด้วย คิดรวมระยะทางแล้วประมาณ ๕๔ โยชน์
เมื่อ ตนกลับไปถึงแล้วก็เที่ยวแสวงหาสวนที่มีความสงบเงียบ ก็ไปเห็นสวนที่สงบเงียบ อยู่ห่างจากเมืองประมาณ ๑ กิโลเมตร จึงตัดสินใจซื้อด้วยเงินที่มากมายเลยเกิน
เพราะ เจ้าของที่ คือ เจ้าเชต บอกว่า ต้องเอาเงินทองมาปูพื้นที่ที่จะสร้างวัดให้เต็ม เจ้าของที่จึงจะยอมขายให้ ตามตำรากล่าวว่า การสร้างวัดเชตวันนั้น ใช้เงินไปมากกว่า ๕๔ โกฏิ ...... ในการสร้างวัดและรวมทั้งทำบุญด้วย.....เห็นได้ว่า เป็นเงินจำนวนมากมายมหาศาล การสละเงินจำนวนมากเช่นนี้ ย่อมใช้กำลังใจเสียสละในการให้ทานเป็นอย่างมาก ท่านจึงเป็นบุคคลคนที่หาได้ยากยิ่ง
ใน การสร้างวัดพระเชตวันที่ยิ่งใหญ่ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ถวายแด่พระพุทธเจ้านั้น พระพุทธองค์ได้ทรงได้ประทับอยู่ในวัดพระเชตวัน นานถึง ๑๙ พรรษา ในจำนวน ๔๕ พรรษาในการที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาของพระองค์...
No comments:
Post a Comment